สำนักข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) จำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังพิจารณาใช้เครื่องมือต่อต้านการบีบบังคับ (Anti-Coercion Instrument) หรือ ACI อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าตามคำขู่ที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU 30% ภายในวันที่ 1 ส.ค. และการเจรจาทางการค้าไม่เป็นผลสำเร็จ
เครื่องมือ ACI ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็น "ไม้ตาย" ที่มีไว้เพื่อป้องปรามเป็นหลัก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปลายปี 2566 แต่ยังไม่เคยถูกนำมาใช้จริง มาตรการนี้จะเปิดทางให้ EU สามารถโจมตีภาคส่วนสำคัญทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้อย่างครอบคลุม เกินกว่าแค่การใช้มาตรการทางภาษีตอบโต้
ACI ให้อำนาจอย่างกว้างขวางแก่ EU ในการเลือกใช้มาตรการหยุดยั้งพฤติกรรมบีบบังคับ โดยมาตรการเด่น ๆ ประกอบด้วย
การโจมตีภาคบริการและดิจิทัล: พุ่งเป้าไปที่ภาคบริการที่สหรัฐฯ ได้ดุลการค้ากับ EU อยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ให้บริการรายใหญ่อย่างอะเมซอน (Amazon), ไมโครซอฟท์ (Microsoft), เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) หรืออูเบอร์ (Uber)
การกีดกันจากการประมูลงานภาครัฐ: สำหรับโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐซึ่งมีมูลค่ามหาศาลปีละ 2 ล้านล้านยูโรนั้น EU มีทางเลือก 2 แนวทางคือ 1) ตัดสิทธิ์ทันที หากมีสินค้าหรือบริการจากสหรัฐฯ เป็นส่วนประกอบเกิน 50% ของสัญญา หรือ 2) ใช้วิธีปรับลดคะแนน เพื่อให้ข้อเสนอราคาจากฝั่งสหรัฐฯ เสียเปรียบคู่แข่ง
การจำกัดการลงทุน: สามารถออกมาตรการจำกัดการลงทุนโดยตรง (FDI) จากสหรัฐฯ
การจำกัดการนำเข้า: ผ่านการกำหนดโควตาหรือเงื่อนไขการออกใบอนุญาตที่เข้มงวดขึ้น
มาตรการอื่น ๆ: รวมถึงการจำกัดการคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา การจำกัดการเข้าถึงตลาดบริการทางการเงิน และการจำกัดความสามารถในการจำหน่ายสารเคมีหรือผลิตภัณฑ์อาหารบางชนิดใน EU
อย่างไรก็ดี การเปิดใช้มาตรการ ACI มีขั้นตอนที่ยืดเยื้อและซับซ้อน โดยคณะกรรมาธิการยุโรปจะทำการตรวจสอบว่ามีกรณีการบีบบังคับเกิดขึ้นจริงหรือไม่ (สูงสุด 4 เดือน) หากพบว่ามีการบีบบังคับจริง จะต้องเสนอเรื่องให้ชาติสมาชิกลงมติรับรองด้วยเสียงข้างมากแบบพิเศษ (qualified majority) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่เข้มงวดและผ่านได้ยากกว่าการใช้มาตรการภาษีตอบโต้ทั่วไป (8-10 สัปดาห์) หลังการรับรอง คณะกรรมาธิการฯ จะพยายามเจรจาทางการทูตก่อน หากล้มเหลว จึงจะเสนอมาตรการตอบโต้ให้ชาติสมาชิกโหวตอีกครั้ง (สูงสุด 6 เดือน) และมาตรการจะมีผลบังคับใช้ภายใน 3 เดือนหลังจากนั้น
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว กระบวนการเหล่านี้อาจใช้เวลานานถึงหนึ่งปี แต่เจ้าหน้าที่ชี้ว่าสามารถเร่งรัดขั้นตอนได้หากจำเป็น