สำนักข่าววอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานเมื่อวันพุธ (23 ก.ค.) ว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้รับแจ้งจากแพม บอนดี อัยการสูงสุดสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนพ.ค. ว่า ชื่อของเขาปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวนที่เกี่ยวข้องกับเจฟฟรีย์ เอปสตีน อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ การเปิดเผยครั้งนี้ส่อเค้าว่าจะยิ่งซ้ำเติมวิกฤตการเมืองที่รุมเร้ารัฐบาลของเขามานานหลายสัปดาห์ให้รุนแรงยิ่งขึ้น
การเปิดโปงครั้งนี้ทำให้ทรัมป์เผชิญกระแสต่อต้านอย่างหนักแม้กระทั่งจากกลุ่มผู้สนับสนุนของตนเอง หลังจากรัฐบาลของเขายืนยันว่าจะไม่เปิดเผยแฟ้มข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นการผิดคำสัญญาที่เคยให้ไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง
ทรัมป์เคยมีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับเอปสตีนในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990 และต้นคริสต์ทศวรรษ 2000 โดยมีชื่อปรากฏในบันทึกการเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัวของเอปสตีนหลายครั้ง แม้ทรัมป์จะปฏิเสธคำให้การของนักบินส่วนตัวของเอปสตีนในประเด็นนี้ก็ตาม นอกจากนี้ ชื่อของทรัมป์และสมาชิกในครอบครัวยังอยู่ในสมุดรายชื่อผู้ติดต่อของเอปสตีนเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่เคยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดในคดีที่เกี่ยวข้องกับเอปสตีน และยืนยันว่ามิตรภาพของทั้งคู่สิ้นสุดลงก่อนที่เอปสตีนจะเผชิญปัญหาทางกฎหมายครั้งแรกเมื่อราว 20 ปีก่อน
เมื่อต้นเดือนนี้ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้สรุปในบันทึกข้อความว่า ไม่มีมูลเหตุเพียงพอที่จะสอบสวนคดีเอปสตีนต่อไป ขณะที่บอนดีและท็อดด์ แบลนช์ รองอัยการสูงสุด ได้ออกแถลงการณ์ร่วมว่า "ไม่มีข้อมูลใดในแฟ้มที่บ่งชี้ว่าจำเป็นต้องมีการสอบสวนหรือดำเนินคดีเพิ่มเติม" และได้แจ้งข้อค้นพบดังกล่าวให้ประธานาธิบดีรับทราบแล้วในการบรรยายสรุปตามวาระปกติ
ทั้งนี้ WSJ ระบุว่า ทรัมป์ได้รับแจ้งว่านอกจากชื่อของเขาแล้ว ยังมีชื่อของ "บุคคลที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน" ปรากฏอยู่ในแฟ้มข้อมูลด้วย
ประเด็นดังกล่าวได้สร้างความแตกแยกอย่างหนักในพรรครีพับลิกัน โดยเมื่อวันอังคาร (22 ก.ค.) ไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ประกาศปิดสมัยประชุมฤดูร้อนเร็วขึ้น 1 วัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในสภาเรื่องการลงมติเปิดเผยแฟ้มคดีเอปสตีน
อย่างไรก็ดี ในวันพุธ คณะอนุกรรมาธิการของคณะกรรมการกำกับดูแลสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีสส. รีพับลิกัน 3 คน ร่วมลงมติกับสส. เดโมแครต 5 คน ได้อนุมัติหมายเรียกเพื่อขอแฟ้มคดีเอปสตีนทั้งหมดจากกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพรรครีพับลิกันเองก็ยังไม่พร้อมที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้
ขณะเดียวกัน ทรัมป์พยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการกล่าวหาอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่าอยู่เบื้องหลังการบ่อนทำลายการหาเสียงของเขาเมื่อปี 2559 ซึ่งสำนักงานของโอบามาได้ออกมาปฏิเสธว่าข้อกล่าวหาดังกล่าว "ไร้สาระ"
สำหรับเอปสตีน ได้ฆ่าตัวตายในเรือนจำเมื่อปี 2562 ขณะรอการพิจารณาคดีค้ามนุษย์ทางเพศ โดยก่อนหน้านี้ในปี 2551 เขาเคยรับสารภาพในคดีค้าประเวณีและรับโทษจำคุกเพียง 13 เดือน ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นข้อตกลงที่ผ่อนปรนเกินไป