ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย พบปะกันอย่างเป็นทางการที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ (2 ก.ย.) ซึ่งเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์แน่นแฟ้นที่พัฒนามาต่อเนื่องนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนเมื่อปี 2565
สีกล่าวต้อนรับปูตินในฐานะ "เพื่อนเก่าแก่" พร้อมยกย่องความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สามารถยืนหยัดต่อบททดสอบจากสถานการณ์โลก และเป็นแบบอย่างความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านที่เป็นมิตร การประสานงานเชิงยุทธศาสตร์ และความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ขณะที่ปูตินกล่าวขอบคุณสำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
ภายหลังการหารือ อเล็กเซย์ มิลเลอร์ ซีอีโอของก๊าซพรอม (Gazprom) ประกาศข้อตกลงส่งก๊าซธรรมชาติให้จีน แทนตลาดยุโรปที่ถูกจำกัดด้วยมาตรการคว่ำบาตร ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าของความร่วมมือด้านพลังงานที่เจรจากันมายาวนาน
นับตั้งแต่สงครามยูเครน ความร่วมมือระหว่างจีนและรัสเซียขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้าทวิภาคีแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.45 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 เพิ่มขึ้น 68% จากปี 2564
นอกจากนี้ ปูตินยังเดินทางไปร่วมพิธีสวนสนามทางทหารที่กรุงปักกิ่ง เพื่อรำลึกครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากเมื่อต้นปี สีเพิ่งเดินทางไปกรุงมอสโกเพื่อร่วมงานฉลองชัยชนะของรัสเซียเหนือเยอรมนีนาซี โดยมีทหารจีนเข้าร่วมขบวนพาเหรดที่จัตุรัสแดงกลางกรุงมอสโกเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งสองผู้นำยังแสดงจุดยืนร่วมกันเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยย้ำถึงบทบาทสำคัญของรัสเซียและจีนในสมรภูมิยุโรปและเอเชีย พร้อมลดทอนบทบาทของสหรัฐฯ โดยปูตินระบุว่า การจัดกิจกรรมรำลึกชัยชนะร่วมกันมีความหมายพิเศษ เพื่อสดุดีประชาชนทั้งสองชาติ และสะท้อนถึงความพร้อมที่จะปกป้องข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และความยุติธรรม
ก่อนหน้านี้ ปูตินเพิ่งเข้าร่วมการประชุมสุดยอดองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ที่นครเทียนจิน ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.1 ก.ย. ส่วนสีใช้เวทีดังกล่าวกระชับแนวร่วมในเวทีระหว่างประเทศ โดยเรียกร้องให้ SCO ต่อต้านแนวคิดสงครามเย็น การเผชิญหน้าระหว่างกลุ่ม และการคุกคาม ซึ่งเป็นการพาดพิงท่าทีของสหรัฐฯ ในสงครามการค้า
นอกจากนี้ ที่ประชุม SCO ยังมีมติเห็นชอบจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งใหม่ แม้จีนยังไม่เปิดเผยรายละเอียด แต่ถูกมองว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จเชิงสัญลักษณ์ในการผลักดันบทบาทของจีนในเวทีเศรษฐกิจโลก