เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศว่า "รัฐปาเลสไตน์ไม่มีวันเกิดขึ้น" พร้อมกับลงนามข้อตกลงเพื่อเร่งรัดการก่อสร้างนิคมที่อยู่อาศัยใหม่ในพื้นที่ E1 ของเขตเวสต์แบงก์ที่อิสราเอลเข้าไปยึดครอง
ทั้งนี้ การก่อสร้างนิคมในพื้นที่ E1 จะตัดขาดเยรูซาเลมตะวันออกจากเขตเวสต์แบงก์ตอนเหนือ จึงถูกคัดค้านอย่างหนักทั้งในอิสราเอลเองและจากนานาชาติ โดยแผนการก่อสร้างนิคมในพื้นที่ E1 ถูกระงับมานานหลายปีแล้ว นับตั้งแต่มีการเสนอครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 2530 จากนั้นเนทันยาฮูได้ผลักดันแผนดังกล่าวในปี 2555 และพยายามรื้อฟื้นอีกครั้งก่อนการเลือกตั้งปี 2563
ในวันพฤหัสบดี (11 ก.ย.) เนทันยาฮูได้เยือนนิคมมาอาเล อาดูมิม (Ma'ale Adumim) ซึ่งเป็นนิคมชาวอิสราเอลที่ใหญ่ที่สุดในเขตเวสต์แบงก์ และลงนามข้อตกลงเพื่อเร่งรัดการก่อสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ในนิคมดังกล่าว รวมถึงในพื้นที่ E1 ที่อยู่ติดกัน พร้อมกับประกาศว่า "รัฐปาเลสไตน์ไม่มีวันเกิดขึ้น! ที่นี่เป็นของเรา"
กระทรวงการก่อสร้างและที่อยู่อาศัยของอิสราเอลระบุว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณราว 3 พันล้านเชเกล (ประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับที่อยู่อาศัยประมาณ 7,600 หลังคาเรือน โดย 3,400 หลังคาเรือนในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่ E1
เมื่อใบอนุญาตก่อสร้างโครงการดังกล่าวได้รับการอนุมัติในเดือนส.ค. เบซาเลล สโมทริช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝ่ายขวาจัด ได้กล่าวว่า แผนการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อขัดขวางการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ โดยระบุว่า "การอนุมัติแผนก่อสร้างในพื้นที่ E1 เป็นการฝังกลบแนวคิดเรื่องรัฐปาเลสไตน์"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในเขตเวสต์แบงก์และเยรูซาเลมตะวันออก ซึ่งอิสราเอลเข้าไปยึดครองในช่วงสงครามตะวันออกกลางปี 2510 ปัจจุบันมีชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่ราว 3.3 ล้านคน และมีผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอิสราเอลกว่า 720,000 คน ซึ่งการตั้งถิ่นฐานดังกล่าวขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ โดยชาวปาเลสไตน์และประชาคมโลกส่วนใหญ่มองว่าการตั้งถิ่นฐานเช่นนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อกระบวนการสันติภาพ