พรรคโคเม (Komeito) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขนาดเล็กของญี่ปุ่น ประกาศในวันนี้ (10 ต.ค.) ว่าจะถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ถือเป็นการปิดฉากความสัมพันธ์ระหว่างสองพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรจัดตั้งรัฐบาลกันมายาวนานถึง 26 ปี นับตั้งแต่ปี 2542 โดยสื่อญี่ปุ่นระบุว่า สาเหตุมาความเห็นต่างในการรับมือกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับเงินทุนทางการเมือง
ซานาเอะ ทาคาอิจิ สส.สายอนุรักษ์นิยม ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยรัฐสภา การถอนตัวของพรรคโคเมได้สร้างความไม่แน่นอนต่ออนาคตของทาคาอิจิ ซึ่งคาดว่าจะได้เป็นผู้นำหญิงคนแรกของญี่ปุ่น
สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การถอนตัวของพรรคโคเมจะส่งผลให้พรรค LDP กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย เว้นแต่พรรค LDP จะสามารถดึงพรรคฝ่ายค้านที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เข้ามาร่วมรัฐบาลได้อย่างน้อยสองพรรค
ด้านเอ็นเอชเค (NHK) รายงานว่า การถอนตัวของพรรคโคเมยังอาจส่งผลให้กลยุทธ์การลงทุนที่เรียกว่า "Takaichi trade" ถูกยกเลิกหรือมีการเทขายทำกำไร โดยกลยุทธ์นี้เกิดจากความคาดหวังของนักลงทุนว่า หัวหน้าพรรค LDP คนใหม่จะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การที่ทาคาอิจิได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้ความคาดหวังของตลาดเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ลดลง ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นและเงินเยนอ่อนค่าลง เนื่องจากทาคาอิจิเป็นผู้สนับสนุนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ "อาเบะโนมิกส์" ของอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ
เทตสึโอะ ไซโตะ หัวหน้าพรรคโคเม ได้แจ้งให้ทาคาอิจิทราบถึงการตัดสินใจยุติความร่วมมือที่ดำเนินมา 26 ปีของพรรคในการประชุมวันนี้ โดยสื่อญี่ปุ่นรายงานว่า รอยร้าวในแนวร่วมรัฐบาลเกิดขึ้นหลังจากที่ทาคาอิจิได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP และได้แต่งตั้งโคอิจิ ฮากิอุดะ สส. ผู้ทรงอิทธิพลที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาว ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค
ทั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าพรรคโคเมจะยังสนับสนุนพรรค LDP ในรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งอาจลดโอกาสที่ทาคาอิจิจะได้รับการอนุมัติให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในการลงคะแนนที่จะมีขึ้นภายในเดือนนี้
ปัจจุบันพรรค LDP ครองที่นั่งในรัฐสภา 296 จากทั้งหมด 713 ที่นั่งทั้งในสภาล่างและสภาสูง ขณะที่พรรคโคเมครอง 45 ที่นั่ง โดยพันธมิตรฝ่ายกลาง-ขวานี้ครองอำนาจในญี่ปุ่นมาตลอดยกเว้นเพียง 3 ปี คือในปี 2552-2555 ซึ่งเป็นช่วงที่พรรคประชาธิปไตย (Democratic Party) ขึ้นครองอำนาจ