สำนักข่าวเกียวโดรายงานวันนี้ (17 ต.ค.) ว่า โทมิอิจิ มุรายามะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ถึงแก่อสัญกรรมแล้วด้วยวัย 101 ปี โดยเขาเป็นที่จดจำจากบทบาทสำคัญในการออกแถลงการณ์ขอโทษต่อการกระทำของญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
มุรายามะสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นนายกฯ จากพรรคสายสังคมนิยมคนแรกในรอบ 47 ปี ดำรงตำแหน่งระหว่างเดือนมิ.ย. 2537 ถึงม.ค. 2539 โดยนำรัฐบาลผสมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งเป็นการจับมือกันของคู่แข่งทางการเมืองอย่างพรรคสังคมประชาธิปไตย (SDP) ของมุรายามะกับพรรคสายอนุรักษนิยมอย่างพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และพรรคเล็กอย่างชินโต ซากิกาเกะ (New Party Sakigake)
ผลงานที่เป็นที่จดจำที่สุดของเขาคือ "แถลงการณ์มุรายามะ" (Murayama statement) ในปี 2538 เนื่องในวาระครบรอบ 50 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเขาได้แสดงความ "สำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง" และ "ขอโทษจากใจจริง" ในนามของประเทศญี่ปุ่น ต่อความเสียหายและความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการปกครองแบบอาณานิคมและการรุกรานในอดีต ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นบรรทัดฐานที่รัฐบาลญี่ปุ่นชุดต่อ ๆ มายึดถือ
ตลอด 18 เดือนในตำแหน่ง รัฐบาลของมุรายามะยังมีผลงานสำคัญอีกหลายด้าน โดยได้ผ่านกฎหมายเยียวยาผู้รอดชีวิตจากเหตุระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิในปี 2537 จัดตั้งกองทุนสตรีเอเชีย (Asian Women's Fund) ในปี 2538 เพื่อชดเชยให้แก่ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้เป็นทาสทางเพศในกองทัพญี่ปุ่นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และวางแนวทางแก้ไขปัญหามลพิษจากสารปรอทในคดีมินามาตะ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมุรายามะก็ต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่หลายระลอกในปี 2538 ไม่ว่าจะเป็นเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ฮันชินที่คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 6,000 ราย เหตุโจมตีรถไฟใต้ดินโตเกียวด้วยแก๊สพิษซารินโดยลัทธิโอมชินริเกียว รวมถึงเหตุการณ์ทหารอเมริกัน 3 นายลักพาตัวและข่มขืนเด็กนักเรียนหญิงที่โอกินาวา ซึ่งจุดชนวนการประท้วงต่อต้านฐานทัพสหรัฐฯ ครั้งใหญ่
ในทางการเมือง มุรายามะได้นำพรรค SDP กลับลำนโยบายพื้นฐานหลายอย่างเพื่อประนีประนอมกับพรรคร่วมรัฐบาล โดยยอมรับความชอบธรรมของกองกำลังป้องกันตนเอง สนธิสัญญาความมั่นคงญี่ปุ่น-สหรัฐฯ ธงชาติฮิโนะมะรุ และเพลงชาติคิมิงะโยะ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่พรรคเคยต่อต้านมาตลอดภายใต้จุดยืนสันตินิยม ทำให้พรรคของเขาถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าสูญเสียอัตลักษณ์ทางการเมืองไป
มุรายามะ ซึ่งเป็นชาวจังหวัดโออิตะ เริ่มเส้นทางการเมืองจากการเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น ก่อนจะได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2515 และดำรงตำแหน่งรวมทั้งสิ้น 8 สมัย ก่อนจะวางมือทางการเมืองในเดือนมิ.ย. 2543