นางซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น เตรียมปรากฏตัวบนเวทีโลกเป็นครั้งแรกในการประชุมสุดยอดสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 47 ที่มีกำหนดจัดขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 26-28 ต.ค.
หลังจากนั้น เธอจะต้องรีบเดินทางกลับกรุงโตเกียวเพื่อเตรียมการต้อนรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ซึ่งมีกำหนดเดินทางถึงญี่ปุ่นในวันจันทร์ที่ 27 ต.ค.
กำหนดการดังกล่าวบ่งชี้ว่าทั้งปธน.ทรัมป์และนางทาคาอิจิจะใช้เวลาเพียง 1 วันที่มาเลเซียในวันที่ 26 ต.ค. ซึ่งเป็นวันเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ก่อนที่ทั้งสองจะจัดการประชุมสุดยอดที่กรุงโตเกียวในวันที่ 27 ต.ค. โดยปธน.ทรัมป์จะอยู่ที่กรุงโตเกียวเป็นเวลา 3 วันในวันที่ 27-29 ต.ค.
นางทาคาอิจิยังมีกำหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันที่ 31 ต.ค. ซึ่งเธอจะได้พบกับประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้
นักวิเคราะห์ระบุว่า การพบกันระหว่างนางทาคาอิจิและปธน.ทรัมป์เป็นครั้งแรก ถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากสหรัฐเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของญี่ปุ่น ทั้งในด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจ
ศาสตราจารย์เคอิ โคกะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยาง (NTU) กล่าวว่า 'ในเมื่ออำนาจการตัดสินใจของสหรัฐอยู่ในมือของปธน.ทรัมป์ คุณทาคาอิจิจึงจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับเขา เหมือนกับที่อดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะเคยทำได้สำเร็จ'
ด้านศาสตราจารย์โคทาโระ ทามูระ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) ให้ความเห็นว่า นางทาคาอิจิน่าจะสามารถร่วมมือกับปธน.ทรัมป์ได้ดีกว่ารัฐบาลชุดก่อน ๆ
'ปรัชญา Japan First ของนางทาคาอิจิสอดคล้องกับแนวคิด America First ของปธน.ทรัมป์ ดังนั้นผมคิดว่าเธอจะสามารถสร้าง "เคมีที่เข้ากันได้ดี" กับเขา' นายทามูระกล่าว
นอกจากนี้ นางทาคาอิจิยังได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างญี่ปุ่น สหรัฐ และเกาหลีใต้ เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านกลาโหมและเศรษฐกิจในภูมิภาค
ส่วนในความสัมพันธ์กับจีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น นักวิเคราะห์มองว่านางทาคาอิจิจะใช้แนวทางที่รอบคอบในความพยายามสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับสหรัฐและจีน