ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบน Truth Social ในวันนี้ ระบุว่า เขาเตรียมพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ในวันพรุ่งนี้ โดยคาดว่าการเจรจาจะเป็นไปอย่างราบรื่น
'ผมสามารถนำเงินนับล้านล้านดอลลาร์กลับสู่สหรัฐ! นี่เป็นการเดินทางที่ยอดเยี่ยม ผมได้พบกับผู้นำหลายคนที่ฉลาด มีปัญญา และมีความสามารถ วันพรุ่งนี้ผมจะได้พบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ซึ่งจะเป็นการประชุมที่ยอดเยี่ยมสำหรับทั้งสองฝ่าย!!!' ปธน.ทรัมป์ระบุ
กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน จะพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่เมืองปูซาน สาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ 30 ตุลาคม เพื่อหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคีและประเด็นระดับโลก
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามการจัดเตรียมล่วงหน้าของทั้งสองประเทศ และคาดว่าจะครอบคลุมทั้งความสัมพันธ์ทวิภาคีและประเด็นสำคัญในระดับโลกที่ทั้งสองฝ่ายให้ความสนใจร่วมกัน
การประชุมดังกล่าวถือเป็นการพบหน้ากันเป็นครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสอง นับตั้งแต่เกิดความตึงเครียดในประเด็นการค้า ไต้หวัน และความมั่นคงในภูมิภาค โดยคาดว่าปธน.ทรัมป์และปธน.สีจะแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการรักษาเสถียรภาพเชิงยุทธศาสตร์ในอินโด-แปซิฟิก
นอกจากนี้ การประชุมสุดยอดดังกล่าวจะมีขึ้น ก่อนการประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือเอเปก (APEC) ที่เมืองคยองจู สาธารณรัฐเกาหลี ที่มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สาเหตุที่รัฐบาลเกาหลีใต้เลือกเมืองปูซานให้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและผู้นำจีน แทนที่จะให้ทั้งสองหารือกันที่เมืองคยองจู ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดเอเปก เนื่องจากเมืองปูซานอยู่ใกล้กับเมืองคยองจู โดยอยู่ห่างกันเพียง 85 กิโลเมตร ซึ่งหากเดินทางโดยรถยนต์จะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 15 นาที
นอกจากนี้ การแยกจัดการประชุมสุดยอดดังกล่าวที่เมืองปูซานจะเอื้อต่อการรักษาความปลอดภัยต่อผู้นำทั้งสอง และเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการประชุมแบบพบหน้ากันของปธน.ทรัมป์และปธน.สี ทำให้ผู้นำทั้งสองมีสมาธิในการเจรจา โดยไม่ถูกรบกวนจากความวุ่นวายในเมืองคยองจู
ขณะเดียวกัน ปูซานยังมีโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับจัดการประชุมทวิภาคีดังกล่าว โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองคยองจู
ปธน.ทรัมป์กล่าวก่อนหน้านี้ว่า สหรัฐและจีนกำลังจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการทำข้อตกลงทางการค้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ขู่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มอีก 100% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน พร้อมทั้งระบุว่า ทำเนียบขาวจะออกมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ที่มีความสำคัญทั้งหมด เพื่อตอบโต้ต่อการที่จีนประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก
นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ว่า การประชุมสุดยอดระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี จะช่วยแก้ไขความขัดแย้งเกี่ยวกับบริษัทติ๊กต๊อก (TikTok) รวมทั้งจะทำให้จีนกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ก่อนการประชุมเพียงหนึ่งวัน จีนได้ย้ำจุดยืนอีกครั้งว่าจะไม่ตัดทางเลือกในการใช้กำลังทหารต่อไต้หวัน ซึ่งเป็นถ้อยแถลงที่มีความแข็งกร้าวกว่าในอดีตที่จีนมักเน้นเรื่องการรวมชาติอย่างสันติ
นายเผิง ซีเหว่ย โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน แถลงที่กรุงปักกิ่งในวันนี้ว่า การรวมชาติอย่างสันติภายใต้กรอบ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ยังคงเป็นแนวทางพื้นฐานของจีน แต่เตือนว่าจีนจะดำเนินการทุกวิถีทางที่จำเป็น หากไต้หวันมีแนวโน้มประกาศเอกราชมากขึ้น
'เรามุ่งมั่นที่จะสร้างโอกาสสำหรับการรวมชาติอย่างสันติ และจะพยายามอย่างเต็มที่ด้วยความจริงใจ แต่เราจะไม่มีวันสละสิทธิ์ในการใช้กำลัง' นายเผิงกล่าว
การที่จีนกลับมาเน้นย้ำเรื่องการรวมชาติอีกครั้งในช่วงก่อนการพบกันระหว่างปธน.ทรัมป์และปธน.สี แสดงให้เห็นว่า ประเด็นไต้หวันจะเป็นหัวข้อสำคัญในการหารือที่ปูซานครั้งนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามปธน.ทรัมป์ในวันนี้ว่า ประเด็นไต้หวันจะอยู่ในวาระการประชุมหรือไม่ เขาตอบว่า 'ผมยังไม่แน่ใจว่าจะมีการพูดคุยเรื่องนี้กับประธานาธิบดีสีหรือไม่'
ทั้งนี้ คาดว่าการประชุมที่ปูซานครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่ผู้นำทั้งสองพยายามสร้างสมดุลระหว่าง "การแข่งขันและความร่วมมือ" ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค