สำนักพระราชวังบักกิงแฮมแถลงในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ว่า สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยถอดพระยศทั้งหมดของเจ้าชายแอนดรูว์ พระอนุชา และทรงขับพ้นจากพระตำหนักรอยัลลอดจ์ (Royal Lodge) โดยการตัดสินพระทัยครั้งประวัติศาสตร์นี้มีขึ้นหลังราชวงศ์เผชิญแรงกดดันจากกรณีความสัมพันธ์อื้อฉาวระหว่างแอนดรูว์กับเจฟฟรีย์ เอปสตีน อาชญากรทางเพศผู้ล่วงลับ
พระบรมราชวินิจฉัยนี้ส่งผลให้แอนดรูว์ต้องใช้ชื่อสามัญชนว่า "แอนดรูว์ เมานต์แบตเทน-วินด์เซอร์" และสูญสิ้นพระยศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ฮิสรอยัลไฮเนส (His Royal Highness), ดยุกแห่งยอร์ก (Duke of York), เอิร์ลแห่งอินเวอร์เนส (Earl of Inverness) หรือบารอนคิลลีลีห์ (Baron Killyleagh) รวมถึงถูกถอดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่าง ๆ และจะต้องย้ายออกจากพระตำหนักรอยัลลอดจ์ ใกล้ปราสาทวินด์เซอร์
ทั้งนี้ แอนดรูว์ถูกบังคับให้ยุติการใช้พระยศ "ดยุกแห่งยอร์ก" เมื่อต้นเดือนนี้ หลังมีการเปิดโปงข้อมูลใหม่เกี่ยวกับมิตรภาพที่มีกับเอปสตีน และข้อกล่าวหาล่วงละเมิดทางเพศที่ถูกรื้อฟื้นโดยเวอร์จิเนีย โรเบิร์ตส์ จูเฟร หนึ่งในเหยื่อของเอปสตีน ซึ่งหนังสือบันทึกความทรงจำที่ได้รับการตีพิมพ์หลังมรณกรรมของเธอ (เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเมื่อเดือนเม.ย. ในวัย 41 ปี) เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อสัปดาห์ก่อน
ล่าสุดสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ทรงดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพื่อลงโทษการใช้วิจารณญาณที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง ด้วยการถอดพระยศ "เจ้าชาย" ซึ่งทรงดำรงมาตั้งแต่ประสูติในฐานะพระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
"มาตรการลงโทษเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็น แม้ว่าเขายังคงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดก็ตาม" แถลงการณ์ระบุ "สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พระราชหฤทัยและความห่วงใยอย่างสูงสุดของทั้งสองพระองค์อยู่เคียงข้างเหยื่อและผู้รอดชีวิตจากการถูกล่วงละเมิดในทุกรูปแบบเสมอมาและตลอดไป"
การถอดพระยศเจ้าชายหรือเจ้าหญิงแห่งอังกฤษเป็นเหตุการณ์ที่แทบไม่เคยเกิดขึ้น โดยเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อปี 2462 ซึ่งในครั้งนั้น เจ้าชายเออร์เนสต์ ออกัสตัส ทรงถูกถอดพระยศของอังกฤษเนื่องจากทรงเข้าข้างเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 1
ด้านพี่ชายของจูเฟรได้ประกาศชัยชนะแทนน้องสาวว่า "วันนี้ เด็กสาวชาวอเมริกันธรรมดาคนหนึ่ง ได้โค่นล้มเจ้าชายอังกฤษลงด้วยความจริงและความกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาของเธอ"
แอนดรูว์ วัย 65 ปี เผชิญกระแสต่อต้านจากสังคมระลอกใหม่ หลังมีการเปิดโปงอีเมลที่ชี้ว่าเขายังคงติดต่อกับเอปสตีนนานกว่าที่เคยยอมรับ ตามมาด้วยการตีพิมพ์หนังสือ "Nobody's Girl" ของจูเฟร ซึ่งเธอกล่าวหาว่าถูกแอนดรูว์ล่วงละเมิดทางเพศเมื่อเธอมีอายุ 17 ปี
แม้ว่าแอนดรูว์ปฏิเสธข้อกล่าวหามาโดยตลอด แต่ก็ได้ยุติการปฏิบัติหน้าที่หลังการให้สัมภาษณ์ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงกับ BBC ในปี 2562 และจ่ายเงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อยอมความนอกศาลในคดีแพ่งที่นิวยอร์กเมื่อปี 2565
แหล่งข่าวในวังระบุว่า แม้แอนดรูว์ยังคงปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่ก็เป็นที่ประจักษ์ว่ามีการใช้วิจารณญาณที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง การตัดสินพระทัยครั้งนี้มาจากสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์โดยตรง โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกระดับสูงในราชวงศ์ รวมถึงเจ้าชายวิลเลียม ผู้เป็นรัชทายาท
แอนดรูว์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นภาพลักษณ์ที่ดีของราชวงศ์และเป็นวีรบุรุษสงครามฟอล์กแลนด์ แต่ชีวิตในเวลาต่อมากลับต้องพัวพันกับข่าวฉาวอย่างต่อเนื่องนั้น คาดว่าจะย้ายไปยังที่พำนักส่วนตัวในเขตพระราชฐานแซนดริงแฮม โดยได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากพระเชษฐา ขณะที่ซาราห์ เฟอร์กูสัน อดีตพระชายา ซึ่งเคยอยู่ในพระตำหนักเดียวกัน ก็จำเป็นต้องหาที่พำนักแห่งใหม่