ทรัมป์จี้รีพับลิกันใช้ไพ่เด็ด ยกเลิกกฎฟิลิบัสเตอร์ หวังปลดล็อกปมชัตดาวน์

ข่าวต่างประเทศ Friday October 31, 2025 13:23 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องอย่างหนักให้สมาชิกวุฒิสภาจากพรรครีพับลิกันใช้ "ทางเลือกนิวเคลียร์" เพื่อยกเลิกกฎ "ฟิลิบัสเตอร์" ซึ่งเป็นกลไกที่ทำให้ร่างกฎหมายสำคัญต้องหยุดชะงัก โดยมีเป้าหมายเพื่อยุติภาวะที่หน่วยงานรัฐบาลต้องปิดทำการ (government shutdown) ซึ่งยืดเยื้อมานานเกือบหนึ่งเดือน

สาเหตุของภาวะชะงักงันทางการเมืองครั้งนี้มาจากกฎฟิลิบัสเตอร์ของวุฒิสภาที่กำหนดให้ร่างกฎหมายส่วนใหญ่ต้องได้รับเสียงสนับสนุนถึง 60 จาก 100 เสียงจึงจะผ่านความเห็นชอบได้ ในขณะที่ปัจจุบันพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากเพียง 53 ต่อ 47 เสียง ทำให้ไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณได้โดยลำพังหากปราศจากเสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครต

ความขัดแย้งล่าสุดเกิดจากพรรครีพับลิกันพยายามเสนอมาตรการงบประมาณชั่วคราว แต่ถูกพรรคเดโมแครตขัดขวาง โดยฝ่ายเดโมแครตยื่นเงื่อนไขว่าจะไม่ให้การสนับสนุนจนกว่าพรรครีพับลิกันจะยอมเจรจาเพื่อขยายเวลาเงินอุดหนุนด้านสุขภาพภายใต้กฎหมาย Affordable Care Act

ทรัมป์ได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียอย่างดุเดือดว่า "เพราะเดโมแครตได้ 'บ้า' ไปแล้ว ทางเลือกจึงชัดเจน ใช้ 'ทางเลือกนิวเคลียร์' กำจัดฟิลิบัสเตอร์ซะ" และกล่าวเสริมว่า "ถึงเวลาแล้วที่รีพับลิกันจะใช้ 'ไพ่ทรัมป์' ของตัวเอง และกำจัดมันซะ เดี๋ยวนี้เลย เพื่อยุติ 'ชัตดาวน์' ที่ไร้สาระและทำลายประเทศนี้"

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับจากแกนนำพรรครีพับลิกันในวุฒิสภา โดยจอห์น ธูน ผู้นำเสียงข้างมาก ได้แสดงท่าทีคัดค้านแนวคิดดังกล่าว โดยชี้ว่าพรรคจะไม่ใช้ทางเลือกนี้ ซึ่งสะท้อนธรรมเนียมปฏิบัติของทั้งสองพรรคที่มักจะรักษากฎนี้ไว้เพื่อเป็นเครื่องมือต่อรองเมื่อตนเองต้องกลายเป็นฝ่ายค้านในอนาคต

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัมป์เรียกร้องให้ยกเลิกกฎฟิลิบัสเตอร์ โดยเขามักจะหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดเสมอในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อความพยายามผลักดันกฎหมายของเขาติดขัดในวุฒิสภา

ภาวะชัตดาวน์ครั้งนี้ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางประมาณ 750,000 คนต้องถูกพักงาน ขณะที่สำนักงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินว่าอาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราว 7 พันล้านถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ และอาจฉุด GDP ในไตรมาสที่ 4 ลงถึง 2%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ