ศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคำสั่งเมื่อวานนี้ (11 พ.ย.) ให้ขยายเวลาชะลอคำสั่งศาลชั้นต้นออกไปก่อน คำสั่งดังกล่าวบังคับให้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องจ่ายเงินช่วยเหลือด้านอาหารเต็มจำนวนแก่ชาวอเมริกันรายได้น้อย 42 ล้านคน การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤตชัตดาวน์ (การปิดหน่วยงานรัฐ) ที่ยังไม่คลี่คลาย แม้สภาจะเริ่มหาทางออกแล้วก็ตาม
ผลจากคำสั่งนี้ ทำให้รัฐบาลทรัมป์ยังสามารถอายัดงบประมาณราว 4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการช่วยเหลือด้านโภชนาการ (SNAP) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฟู้ดแสตมป์" ไว้ได้ต่อไป
ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (10 พ.ย.) ทีมทนายของรัฐบาลได้ให้ข้อมูลต่อศาลว่า หากวิกฤตชัตดาวน์จบลง ก็ไม่จำเป็นต้องร้องขอให้ระงับคำสั่งนี้อีกต่อไป ทำให้หลายฝ่ายคาดว่าคำสั่งชะลอจ่ายเงินอาจมีผลเพียงไม่นาน อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาเคทันจิ บราวน์ แจ็กสัน ซึ่งเป็นผู้สั่งระงับคำสั่งชั่วคราวครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ (7 พ.ย.) ได้บันทึกความเห็นส่วนตัวเมื่อวานนี้ว่า เธอไม่เห็นด้วยกับการขยายเวลาในครั้งนี้
อนึ่ง คำสั่งชะลอจ่ายเงินฉบับล่าสุดนี้จะหมดอายุในวันพฤหัสบดี (13 พ.ย.)
ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ เพิ่งมีมติผ่านร่างกฎหมายที่จะยุติวิกฤตชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งวิกฤตดังกล่าวสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั้งทำให้เงินช่วยเหลือค่าอาหารของคนนับล้านต้องหยุดชะงัก พนักงานรัฐหลายแสนคนไม่ได้รับเงินเดือน และกระทบไปถึงการจราจรทางอากาศ
โครงการ SNAP ต้องหยุดจ่ายเงินช่วยเหลือตั้งแต่ต้นเดือน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีของโครงการ ส่งผลให้ประชาชนที่เดือดร้อนต้องไปต่อคิวรอรับของจากธนาคารอาหารที่ก็มีของบริจาคจำกัดอยู่แล้ว หลายคนต้องตัดใจไม่ซื้อยาหรือของใช้จำเป็นอื่น ๆ เพื่อเก็บเงินไว้ซื้ออาหารประทังชีวิต
ทั้งนี้ โครงการ SNAP ครอบคลุมประชากรชาวอเมริกัน 42 ล้านคน หรือประมาณ 1 ใน 8 ของประชากรทั้งประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มีรายได้น้อยกว่าค่ามาตรฐานความเป็นอยู่ขั้นต่ำในสหรัฐฯ