ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันล่าสุดเผยให้เห็นว่า คะแนนความพึงพอใจในการบริหารรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลดลงอย่างรวดเร็วถึง 10% จากเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นช่วงเดือนแรก ๆ ที่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งสมัยที่สอง โดยความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ท่ามกลางภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลสำรวจโดยสำนักข่าวเอพี-ศูนย์วิจัยกิจการสาธารณะนอร์ก (AP-NORC) ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 6-10 พ.ย. แสดงให้เห็นว่า มีชาวอเมริกันเพียง 1 ใน 3 หรือ 33% ที่เห็นชอบแนวทางการบริหารรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ ซึ่งลดลงจาก 43% ในเดือนมี.ค.
สาเหตุที่คะแนนร่วงลงส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันและผู้ลงคะแนนอิสระ โดยผลสำรวจชี้ว่า มีผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเพียงประมาณ 2 ใน 3 หรือ 68% ที่ตอบว่า พอใจการบริหารงานของปธน.ทรัมป์ ลดลงจาก 81% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ความพึงพอใจของกลุ่มผู้ลงคะแนนอิสระ ลดลงจาก 38% เหลือ 25%
ผลสำรวจยังพบว่า กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตยังคงไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของทรัมป์ โดยมีอัตราสูงถึง 95% เมื่อเทียบกับ 89% ในเดือนมี.ค.
ขณะที่ คะแนนความพึงพอใจโดยรวมของทรัมป์ยังคงอยู่ที่ 36% ซึ่งใกล้เคียงกับระดับ 37% ในเดือนก่อนหน้า
เอพีรายงานว่า ผลสำรวจความคิดเห็นดังกล่าวระบุถึงความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาล เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนงบประมาณได้ส่งผลกระทบต่อการจราจรทางอากาศ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลหลายแสนคนไม่ได้รับค่าจ้าง และกระทบต่อความช่วยเหลือด้านอาหารสำหรับกลุ่มเปราะบาง
ทั้งนี้ ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรครีพับลิกันไม่พอใจเรื่องวิกฤตชัตดาวน์ โดยตำหนิสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกันและประธานาธิบดีมากกว่ากล่าวโทษพรรคเดโมแครต "ฉันรู้สึกกังวลใจอย่างมากกับการปิดทำการของรัฐบาลเป็นเวลา 40 กว่าวัน" ผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันรายหนึ่งในรัฐฟลอริดากล่าวกับเอพี