สภาคองเกรสสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก มีมติเกือบเป็นเอกฉันท์ในวันอังคาร (18 พ.ย.) บังคับให้กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับคดีของเจฟฟรีย์ เอปสตีน นักการเงินผู้ล่วงลับที่ก่อคดีค้าประเวณีผู้เยาว์ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยพยายามคัดค้านเรื่องนี้มานานหลายเดือน ก่อนจะยอมยุติการต่อต้านในที่สุด
รายงานระบุว่า เพียง 2 วันหลังจากที่ปธน.ทรัมป์เปลี่ยนท่าทีกะทันหัน สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านร่างมาตรการดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 427 ต่อ 1 เสียง ส่งผลให้ข้อมติที่ระบุให้เปิดเผยบันทึกที่ไม่เป็นความลับทั้งหมดเกี่ยวกับคดีเอปสตีนถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา ซึ่งให้การอนุมัติอย่างรวดเร็ว โดยร่างกฎหมายนี้อาจส่งถึงมือปธน.ทรัมป์เพื่อลงนามได้เร็วที่สุดในวันนี้ (19 พ.ย.) ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ปธน.ทรัมป์วางแผนที่จะลงนามในร่างกฎหมายดังกล่าวทันทีที่เอกสารมาถึง
ทั้งนี้ ข่าวฉาวเรื่องเอปสตีนกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองที่สร้างปัญหาให้กับปธน.ทรัมป์มานานหลายเดือน ส่วนหนึ่งเพราะทรัมป์เองเป็นคนที่กระพือทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับคดีนี้ ทำให้ผู้สนับสนุนเขาเองเชื่อว่ารัฐบาลปกปิดความสัมพันธ์ของเอปสตีนกับบุคคลทรงอิทธิพลทั้งหลาย รวมถึงปิดบังเงื่อนงำการเสียชีวิตของเอปสตีนที่เรือนจำในแมนฮัตตันเมื่อปี 2562 ซึ่งทางการระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ก่อนการลงมติ ผู้ที่เคยถูกเอปสตีนล่วงละเมิดกว่า 20 คน ได้รวมตัวกับสมาชิกสภานิติบัญญัติจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันที่บริเวณด้านนอกอาคารรัฐสภา เพื่อเรียกร้องให้มีการเปิดเผยเอกสารดังกล่าว โดยสตรีเหล่านี้ถือรูปถ่ายของตนเองในวัยเยาว์ ซึ่งเป็นช่วงอายุที่พวกเธอกล่าวว่าได้พบกับเอปสตีนเป็นครั้งแรก และภายหลังการลงมติ ทั้งหมดได้ยืนปรบมือให้กับสมาชิกรัฐสภา บางรายถึงกับหลั่งน้ำตาและสวมกอดกันด้วยความตื้นตัน
แม้จะเปลี่ยนจุดยืนต่อร่างกฎหมาย แต่ปธน.ทรัมป์ยังคงแสดงความไม่พอใจที่สื่อให้ความสนใจคดีเอปสตีน โดยเมื่อวันอังคาร เขาได้ตำหนินักข่าวรายหนึ่งที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ในห้องทำงานรูปไข่ว่าเป็น "คนนิสัยแย่" พร้อมระบุว่าสถานีโทรทัศน์ต้นสังกัดควรถูกเพิกถอนใบอนุญาต
"ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเจฟฟรีย์ เอปสตีน" ปธน.ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวระหว่างการต้อนรับเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย "ผมไล่เขาออกจากคลับของผมเมื่อหลายปีก่อน เพราะผมคิดว่าเขาเป็นคนวิปริต"
อนึ่ง ผลสำรวจของรอยเตอร์/อิปซอสส์ ระบุว่า ความขัดแย้งเรื่องเอกสารเอปสตีนส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของปธน.ทรัมป์จนร่วงลงสู่จุดต่ำสุดของปีนี้ โดยมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่เห็นชอบกับการรับมือเรื่องนี้ของทรัมป์ ขณะที่ในกลุ่มรีพับลิกันเอง มีเพียง 44% ที่มองว่าปธน.ทรัมป์จัดการสถานการณ์ได้ดี
จีนา-ลิซา โจนส์ ซึ่งถูกเอปสตีนล่วงละเมิดทางเพศเมื่ออายุ 14 ปี กล่าวว่า "ได้โปรดหยุดทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นทางการเมือง มันไม่ใช่เรื่องของคุณ ประธานาธิบดีทรัมป์ ดิฉันโหวตให้คุณ แต่พฤติกรรมของคุณในประเด็นนี้เป็นความอับอายของคนทั้งชาติ"
โทมัส แมสซี สส.พรรครีพับลิกัน แกนนำผลักดันการลงมติ กล่าวหาในที่ประชุมสภาว่ากระทรวงยุติธรรมกำลัง "ปกป้องพวกใคร่เด็กและพวกค้ามนุษย์ทางเพศ" พร้อมระบุว่าความสำเร็จของร่างกฎหมายนี้จะวัดได้ก็ต่อเมื่อมีผู้มีอิทธิพลถูกใส่กุญแจมือเดินเข้าคุก มิเช่นนั้นจะถือว่าเป็นการปกปิดความผิดต่อไป
นอกจากนี้ การคัดค้านของปธน.ทรัมป์ยังส่งผลให้ความสัมพันธ์กับมาร์เจอรี เทย์เลอร์ กรีน สส.รีพับลิกัน ผู้สนับสนุนคนสำคัญต้องร้าวฉาน โดยกรีนระบุว่าถูกปธน.ทรัมป์กดดันให้ถอนการสนับสนุนและถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ
กรีนได้ร่วมลงมติเห็นชอบและกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "คนทรยศคือคนอเมริกันที่รับใช้ต่างชาติและตัวเอง ส่วนผู้รักชาติคือผู้ที่รับใช้สหรัฐอเมริกาและประชาชนชาวอเมริกัน เช่นเดียวกับเหล่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังดิฉันนี้"