คีธ เคลล็อกก์ ทูตพิเศษด้านยูเครนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยสัญญาณบวกว่าข้อตกลงยุติสงครามยูเครน "ใกล้บรรลุผลเต็มที" โดยเหลือปมปัญหาหลักต้องสะสางเพียง 2 ข้อ แต่ทางรัสเซียกลับมองต่าง โดยยืนยันว่าข้อเสนอของสหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับแก้ขนานใหญ่
เคลล็อกก์ ซึ่งกำลังจะพ้นวาระในเดือนม.ค. กล่าวในเวที Reagan National Defense Forum ว่าความพยายามยุติความขัดแย้งเดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงที่ยากที่สุดเสมอ โดยระบุว่า 2 ประเด็นหลักที่ยังค้างคาคือ ปัญหาเรื่องดินแดนและอนาคตของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซาปอริฌเฌียที่รัสเซียยึดครองอยู่
"ถ้าเคลียร์ 2 เรื่องนี้จบ ผมว่าที่เหลือก็คงผ่านไปได้ด้วยดี เราเกือบถึงเส้นชัยแล้ว... ใกล้มากแล้วจริง ๆ" เคลล็อกก์กล่าวความเร่งด่วนในการผลักดันข้อตกลงนี้สอดรับกับความตั้งใจของทรัมป์ที่เคยประกาศว่าต้องการให้โลกจดจำในฐานะ "ผู้สร้างสันติภาพ" โดยเขายอมรับว่า การยุติสงครามที่นองเลือดที่สุดในยุโรปนับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ครั้งนี้ ถือเป็นเป้าหมายนโยบายต่างประเทศที่ยากจะบรรลุที่สุดในวาระการดำรงตำแหน่งของเขา
ด้านความเคลื่อนไหวฝั่งรัสเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้หารือนาน 4 ชั่วโมงกับทีมงานของทรัมป์
อย่างไรก็ตาม ยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของปูติน ให้สัมภาษณ์สื่อรัสเซียว่า สหรัฐฯ จำเป็นต้อง "แก้เนื้อหาในเอกสารอย่างจริงจัง หรือเรียกได้ว่าต้องแก้แบบขนานใหญ่" โดยเฉพาะในประเด็นดินแดน
แม้จะไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน แต่ถ้อยคำดังกล่าวของอูชาคอฟสะท้อนจุดยืนของรัสเซียที่อ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ดอนบัสทั้งหมด แม้ปัจจุบันยูเครนจะยังคุมพื้นที่ส่วนนี้อยู่ราว 5,000 ตร.กม. ก็ตาม
ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ซึ่งได้หารือทางโทรศัพท์กับทีมงานทรัมป์เช่นกัน แสดงความกังวลว่า การยกพื้นที่ส่วนที่เหลือของดอแนตสก์ให้รัสเซียเป็นเรื่องผิดกฎหมายหากไม่ผ่านการทำประชามติ และเท่ากับเป็นการมอบฐานที่มั่นให้รัสเซียใช้บุกยูเครนได้ลึกกว่าเดิมในอนาคต
ความกังวลนี้สอดคล้องกับร่างข้อเสนอสันติภาพ 28 ข้อของสหรัฐฯ ที่หลุดออกมาเมื่อเดือนก่อน ซึ่งสร้างความตื่นตระหนกแก่เจ้าหน้าที่ยูเครนและยุโรป เนื่องจากเนื้อหาดูเหมือนจะโอนอ่อนผ่อนตามข้อเรียกร้องของมอสโก ทั้งเรื่องการจำกัดบทบาท NATO และการยอมให้รัสเซียยึดครองพื้นที่ 1 ใน 5 ของยูเครนต่อไป
เคลล็อกก์ อดีตนายพลผู้ผ่านสมรภูมิเวียดนามและอิรัก กล่าวถึงความโหดร้ายของสงครามรัสเซีย-ยูเครนครั้งนี้ว่า "น่าสยดสยอง" และไม่เคยปรากฏมาก่อนในสงครามระดับภูมิภาค โดยประเมินว่ายอดทหารบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้งสองฝ่ายรวมกันน่าจะสูงกว่า 2 ล้านนายแล้ว
ปัจจุบันรัสเซียครอบครองพื้นที่กว่า 19% ของยูเครน ซึ่งรวมถึงไครเมีย พื้นที่ทั้งหมดของลูฮันสก์ พื้นที่กว่า 80% ของดอแนตสก์ พื้นที่ราว 75% ของแคร์ซอนและซาปอริฌเฌีย ตลอดจนพื้นที่บางส่วนเล็กน้อยของแคว้นคาร์กิว, ซูมือ, มือกอลายิว และดนีปรอแปตร็อวสก์