เกาหลีใต้จะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในวันพรุ่งนี้ ท่ามกลางความหวังถึงสังคมใหม่ที่ดีขึ้น หลังจากอดีตประธานาธิบดีปาร์ค กึน เฮ ต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวในข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริต ซึ่งนำไปสู่ความถดถอยของฝ่ายอนุรักษ์นิยม และได้ปลุกกระแสความต้องการในการถ่ายโอนอำนาจประธานาธิบดีไปยังอีกฝ่ายเพิ่มขึ้น
การสำรวจล่าสุดโดยแกลลัพ โคเรีย แสดงให้เห็นว่า นายมูน แจ อิน ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้จากพรรคประชาธิปไตยแห่งเกาหลี (DPK) ซึ่งเป็นตัวเก็งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นผู้สมัครที่มีความได้เปรียบมากที่สุด โดยเขาได้รับคะแนนสนุบสนุนมากถึง 40% ในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนนี้
ส่วนนายอัน ชิล ซู จากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่อันดับ 3 ของเกาหลีใต้ ที่แม้จะเคยมีคะแนนสนับสนุนใกล้เคียงกับนายมูนในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเม.ย. กลับได้รับคะแนนสนับสนุนในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้เพียง 20%
คะแนนสนับสนุนลดลงของนายอันเป็นเพราะว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งรู้สึกผิดหวังกับจุดยืนที่ไม่ชัดเจนของเขาในประเด็นด้านความปลอดภัยและดีเบตที่พาดพิงถึงนายมูนในเชิงลบ และแม้ว่าท่าทางคลุมเครือของเขาถูกจะมองว่าเป็นกลยุทธ์ในการเรียกคะแนนจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่ดูเหมือนว่าจะส่งผลให้ทั้งผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งฝ่ายเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมเริ่มหันกลับเข้ามาสนับสนุนฝ่ายที่เป็นกลาง
ทั้งนี้ นายอัน วัย 55 ปี เป็นอดีตแพทย์และนักพัฒนาซอฟแวร์แอนตี้ไวรัส ส่วนนายมูนวัย 64 ปี เป็นอดีตนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอดีตประธานาธิบดีโรห์ มู ยุน โดยนายมูนเคยลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2555 แต่ได้พ่ายแพ้ให้กับนางปาร์ค กึน เฮ จากพรรคแซนูรี ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคลิเบอร์ตี้ โคเรีย
ด้านนายฮอง จูน พโย ผู้สมัครจากพรรคลิเบอร์ตี้ โคเรีย ของอดีตประธานาธิบดีปาร์คผู้อื้อฉาว ที่แม้ว่าจะมีคะแนนสนับสนุนเพียง 16% ตามหลังนายอัน ชิล ซู แต่กลับมีการคาดการณ์ว่าเขาจะได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่านายอัน เนื่องจากนโยบายด้านต่างประเทศและความปลอดภัย ตลอดจนการวิจารณ์คู่แข่งทั้ง 4 รายอย่างดุเดือด ซึ่งประสบความสำเร็จในการเรียกคะแนนจากผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนที่เป็นผู้สูงอายุ และได้ทำให้คะแนนนิยมเขากลับมาดีขึ้นในสัปดาห์ที่สี่ของเดือนเม.ย.
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มีการคาดการณ์ว่าจะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้จำนวนมาก โดยในปีนี้เป็นปีแรกที่เปิดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีล่วงหน้าและได้มีผู้ออกมาลงคะแนนล่วงหน้าไปแล้วมากกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนทั้งหมดทั่วประเทศ