ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า รัฐบาลสหรัฐมีความประสงค์ที่จะเห็นความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างกาตาร์และประเทศอื่น ๆ ในอ่าวอาหรับบรรเทาลงและได้รับการแก้ไขโดยเร็ว
นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวในระหว่างการแถลงต่อสื่อมวลชนว่า "สหรัฐยังคงสื่อสารกับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกประเทศร่วมกันแก้ปัญหาและฟื้นฟูความร่วมมือซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงระดับภูมิภาค"
ซาอุดิอาระเบีย บาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอียิปต์ ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ ด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า กาตาร์เป็นผู้สนับสนุนการก่อการร้าย ขณะที่ลิเบีย เยเมน และมัลดีฟส์ ได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์เช่นกัน ทางด้านกาตาร์ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหา พร้อมกล่าวว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่ยุติธรรม และไม่มีมูลความจริง
แถลงการณ์จากสหรัฐเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทวีตข้อความเมื่อวานนี้ว่า การเดินทางเยือนตะวันออกกลางของเขากำลังส่งผลบวกให้เห็น จากการที่ผู้นำของชาติอาหรับได้ประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ โดยกล่าวหากาตาร์ว่าให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย
"เป็นเรื่องดีที่เห็นว่าการเดินทางเยือนซาอุดิอาระเบีย ซึ่งผมได้เข้าร่วมประชุมกับผู้นำ 50 ชาติ กำลังเห็นผลออกมา พวกเขาระบุว่าจะจัดการอย่างแข็งกร้าวต่อการให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งมีการระบุถึงกาตาร์ ผมหวังว่านี่จะเป็นการเริ่มต้นของจุดจบของลัทธิก่อการร้าย" ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ทั้งนี้ นายสไปเซอร์ได้ออกมาอธิบายข้อความบนทวิตเตอร์ของนายทรัมป์ว่า "ข้อความทางทวิตเตอร์ของปธน.ทรัมป์แสดงให้เห็นถึงการจัดการอย่างจริงจังต่อผู้ที่ให้เงินสนับสนุนก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรง จึงทำให้บรรดาประเทศในภูมิภาคหันมาสนใจ"
ด้านนางเฮเธอร์ นาเวิร์ท โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐกล่าวว่า "สหรัฐรู้สึกขอบคุณกาตาร์ที่ให้การสนับสนุนให้สหรัฐตั้งสถานทูตในประเทศมาอย่างยาวนาน และทางสหรัฐยังไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนแปลงท่าทีดังกล่าว"
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กาตาร์เป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐในการต่อสู้กับกลุ่มรัฐอิสลาม อีกทั้งฐานทัพของสหรัฐในกาตาร์ก็เป็นฐานทัพสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง