สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติด้วยคะแนนเสียง 248 ต่อ 177 เสียง ให้ผ่านร่างกฎหมายว่าด้วยการถอนกำลังทหารของสหรัฐออกจากเยเมน ก่อนที่จะส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้วุฒิสภาสหรัฐพิจารณาเป็นลำดับต่อไป
ทั้งนี้ คาดว่าวุฒิสภาจะทำการลงมติร่างกฎหมายภายในเวลา 30 วัน แต่คาดว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจใช้สิทธิวีโต้เพื่อยับยั้งการถอนกำลังทหารออกจากเยเมน
ร่างกฎหมายระบุว่า สหรัฐจะยุติการสนับสนุนกองทัพของซาอุดีอาระเบียในเยเมน
หากวุฒิสภาเห็นชอบผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว ก็ถือเป็นความท้าทายต่อรัฐบาลของปธน.ทรัมป์ซึ่งกล่าวก่อนหน้านี้ว่าไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้สั่งการสังหารนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบีย และไม่เต็มใจที่จะลงโทษซาอุดีอาระเบีย แม้หน่วยข่าวกรองของสหรัฐจะสรุปว่ามกุฏราชกุมารซาอุดีอาระเบียมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวก็ตาม
บทบาทของสหรัฐในเยเมนได้กลายมาเป็นประเด็นที่สภาคองเกรสให้ความสนใจนับตั้งแต่ที่สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ระบุว่า "มีความเชื่อมั่นระดับปานกลางถึงระดับสูง" ที่มกุฏราชกุมารซาอุดีอาระเบียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารนายคาช็อกกี
นายคาช็อกกี เป็นคอลัมนิสต์ของสำนักข่าววอชิงตันโพสต์ และมักวิจารณ์นโยบายของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ได้หายตัวไปตั้งแต่เข้าไปในสถานกงสุลซาอุฯ กรุงอิสตัลบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ปีที่แล้ว โดยทางการซาอุดีอาระเบียได้ออกมาเปิดเผยหลังจากนั้นว่า นายคาช็อกกีได้เสียชีวิตจากเหตุ "ทะเลาะวิวาท" ในสถานกงสุลฯ ท่ามกลางข้อกังขาที่ว่าเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย มีส่วนรู้เห็นกับการสังหารดังกล่าว ในขณะที่ทางการซาอุดีอาระเบียได้ออกมาปฏิเสธ
ต่อมา สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐ (CIA) ซึ่งทำหน้าที่สืบสวนคดีดังกล่าว ได้มีข้อสรุปออกมาว่า มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นผู้สั่งการให้สังหารนายคาช็อกกี ทำให้วุฒิสภาสหรัฐออกมาตอบโต้ด้วยการลงมติเพื่อเปิดการพิจารณาเกี่ยวกับการยุติการให้การสนับสนุนกองทัพซาอุดีอาระเบียในเยเมน