การเลือกตั้งรัฐสภายุโรปได้ปิดฉากลงแล้วเมื่อวานนี้ โดยชาวยุโรปกว่า 400 ล้านคนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกสมาชิกสภานิติบัญญัติเข้าไปเป็นตัวแทนในรัฐสภายุโรป ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอกฎหมายและการอนุมัติในประเด็นต่างๆ
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผลการนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า พรรค Brexit Party ของนายไนเจล ฟาราจ ซึ่งเป็นพรรคที่สนับสนุนให้อังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) มีคะแนนนำเหนือพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรครัฐบาลอังกฤษ และพรรคแรงงาน ในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรปครั้งนี้ โดยพรรค Brexit Party กำลังขับเคี่ยวกับพรรคอื่นๆเพื่อชิงที่นั่งจำนวน 73 ที่นั่งในรัฐสภายุโรป
ส่วนโปแลนด์นั้น พรรคลอว์ แอนด์ จัสติซ (PiS) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลและมีแนวคิดแยกตัวออกจาก EU มีคะแนนนำเหนือพรรค European Coalition (KE) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน โดยผลการนับคะแนนเบื้องต้นระบุว่า พรรค PiS ได้คะแนน 42.2% ขณะที่พรรค KE ได้คะแนน 39.1% ส่งผลให้พรรค PiS มีแนวโน้มที่จะได้ที่นั่งในรัฐสภายุโรปจำนวน 24 ที่นั่ง มากกว่าพรรค KE ซึ่งได้ไป 22 ที่นั่ง
สำหรับฝรั่งเศส พรรค National Rally ของนางมารีน เลอเปน ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด มีคะแนนนำพรรครัฐบาลของนายเอมมานูเอล มาครอง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส โดยพรรค National Rally ได้คะแนน 24.2% ขณะที่พรรครัฐบาลได้คะแนน 22.4%
นอกจากนี้ ผลการนับคะแนนเบื้องต้นยังระบุว่า พรรคนิวเดโมเครซี (ND) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน มีคะแนนนำพรรคไซริซา ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายและเป็นพรรครัฐบาล โดยพรรค ND ได้คะแนน 32.7% ขณะที่พรรคไซริซาได้คะแนนเพียง 24%
ทั้งนี้ การเลือกตั้งรัฐสภายุโรปซึ่งมีขึ้นในระหว่างวันที่ 23 - 26 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่ 9 นับตั้งแต่การเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อปี 2522 โดยปัจจุบันรัฐสภายุโรปมีสมาชิกทั้งสิ้น 751 คน ซึ่งเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนกว่า 512 ล้านคนจาก 28 ประเทศสมาชิก
ทางด้านนายโดนัลด์ ทัสก์ ประธานคณะมนตรียุโรป เตรียมจัดการประชุมกับผู้นำประเทศสมาชิก EU ในวันที่ 28 พ.ค.นี้ เพื่อกำหนดขั้นตอนการแต่งตั้งผู้นำสหภาพยุโรปคนใหม่ต่อไป