องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกแห่งสหประชาชาติ (WMO) เปิดเผยรายงานในวันนี้ (5 มิ.ย.) ระบุว่า คลื่นความร้อนทางทะเลที่รุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้เมื่อปี 2567 ได้ส่งผลกระทบต่อพื้นผิวมหาสมุทรทั่วโลกกว่า 10% สร้างความเสียหายแก่แนวปะการัง และทำให้ธารน้ำแข็งเขตร้อนแห่งสุดท้ายของภูมิภาคเสี่ยงต่อการสูญสลาย
รายงานประจำปีของ WMO ระบุว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในปี 2567 ในภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งครอบคลุมออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ รวมถึงกลุ่มประเทศเกาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยระหว่างปี 2534-2563 เกือบ 0.5 องศาเซลเซียส
แบลร์ เทรวิน หนึ่งในผู้เขียนรายงานของ WMO กล่าวว่า "พื้นที่ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเผชิญกับสภาวะคลื่นความร้อนทางทะเลที่รุนแรงเป็นอย่างน้อยในช่วงใดช่วงหนึ่งของปี 2567 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ใกล้และทางใต้ของเส้นศูนย์สูตร"
รายงานยังชี้ว่า ความร้อนสุดขั้วตลอดทั้งปีกระทบพื้นที่มหาสมุทรกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร และมีการบันทึกอุณหภูมิสูงสุดใหม่ในฟิลิปปินส์และออสเตรเลีย อุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทรก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน ขณะที่ปริมาณความร้อนสะสมในมหาสมุทรโดยรวมสูงเป็นอันดับสองรองจากปี 2565
นอกจากนี้ พายุไซโคลนที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีจำนวนมากเป็นประวัติการณ์และสร้างความเสียหายอย่างหนักในฟิลิปปินส์ช่วงเดือนต.ค.และพ.ย.
รายงานเสริมว่า ระดับน้ำทะเลยังคงเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งเป็นปัญหารีบด่วนในภูมิภาคที่ประชากรกว่าครึ่งอาศัยอยู่ภายในระยะ 500 เมตรจากชายฝั่ง
รายงานยังอ้างอิงข้อมูลดาวเทียมที่แสดงให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งเขตร้อนเพียงแห่งเดียวของภูมิภาค ซึ่งตั้งอยู่ในอินโดนีเซียบนส่วนตะวันตกของเกาะนิวกินี มีขนาดเล็กลงถึง 50% ในปีที่แล้ว
"น่าเสียดาย หากอัตราการสูญเสียยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ธารน้ำแข็งแห่งนี้อาจหายไปภายในปี 2569 หรือหลังจากนั้นไม่นาน" เธีย เทอร์คิงตัน อีกหนึ่งผู้เขียนรายงานของ WMO กล่าว