กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ จะเริ่มบังคับให้ผู้ยื่นขอวีซ่าจากประเทศแซมเบียและมาลาวี ต้องวางเงินประกันสูงสุดถึง 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการขอวีซ่าท่องเที่ยวและธุรกิจบางประเภท
ตามประกาศบนเว็บไซต์ของกระทรวงฯ ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป พลเมืองหรือผู้ถือสัญชาติที่ใช้หนังสือเดินทางที่ออกโดยสองประเทศดังกล่าว และมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการขอวีซ่า B1/B2 จะต้องวางเงินประกันในจำนวน 5,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 161,000 บาท), 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 323,000 บาท) หรือ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 485,000 บาท) ซึ่งจำนวนเงินจะถูกกำหนดในระหว่างการสัมภาษณ์ขอวีซ่า
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการนำร่องซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค. 2568 จนถึงวันที่ 5 ส.ค. 2569 โดยจะใช้กับพลเมืองของบางประเทศที่ยื่นขอวีซ่า B1 หรือ B2 สำหรับเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อธุรกิจหรือท่องเที่ยว โดยทั่วไปวีซ่าดังกล่าวอนุญาตให้พำนักได้สูงสุด 6 เดือน แต่ในบางกรณีสามารถขอขยายระยะเวลาได้
ประกาศของกระทรวงฯ ยังระบุว่า รายชื่อประเทศที่อยู่ในขอบข่ายของโครงการนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดระยะเวลาที่โครงการดำเนินอยู่ โดยขณะนี้ เว็บไซต์ของกระทรวงฯ ระบุแค่ประเทศแซมเบียและมาลาวี ซึ่งพิจารณาจากอัตราการพำนักเกินกำหนดสำหรับวีซ่าประเภท B1/B2 ตามรายงานการพำนักเกินกำหนดของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิในปีงบประมาณ 2566
นอกจากนี้ กระทรวงฯ ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า ข้อกำหนดนี้มีผลบังคับไม่ว่าจะยื่นขอวีซ่าจากสถานที่ใด และการวางเงินประกันไม่ได้หมายความว่าจะได้รับวีซ่าโดยอัตโนมัติ อีกทั้งหากบุคคลใดชำระเงินโดยไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้าหน้าที่กงสุลก่อน เงินจำนวนนั้นจะไม่สามารถขอคืนได้