จีนกำลังเผชิญกับฝนตกหนักมากกว่าปกติ เนื่องจากมรสุมเอเชียตะวันออกที่หยุดนิ่งอยู่ทางตอนเหนือและตอนใต้ของประเทศ สร้างความปั่นป่วนต่อสภาพอากาศตั้งแต่ต้นเดือนก.ค. ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาเชื่อว่าเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นบททดสอบสำหรับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ขณะที่น้ำท่วมฉับพลันทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพ และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
ฝนตกหนักรอบล่าสุดคาดว่าจะลดลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 5 รายในมณฑลกวางตุ้งในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และทำให้ต้องมีการระดมทีมค้นหากว่า 1,300 นายเข้าพื้นที่ประสบภัย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กระทรวงบริหารเหตุฉุกเฉินเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า แม้มรสุมเอเชียตะวันออกเริ่มอ่อนกำลังลง แต่อุตุนิยมวิทยาของจีนยังเตือนว่า ประเทศอาจยังไม่พ้นช่วงวิกฤต เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะเกิดพายุไต้ฝุ่นอีก 2-3 ลูกในเดือนส.ค.นี้
สื่อของรัฐรายงานว่า ทีมกู้ภัยเร่งเปิดทางระบายน้ำและสูบน้ำออกจากเขตเมืองระหว่างช่วงฝนซา หลังฝนที่ตกหนักทำให้เกิดดินถล่ม ดินโคลนและต้นไม้พัดมาปิดทับทางหลวง ส่งผลให้ถนนพังเสียหายและเผยให้เห็นโครงสร้างพื้นฐานใต้ดิน เช่น สายเคเบิล
ภาพวิดีโอที่เผยแพร่แสดงให้เห็นถนนชอปปิงในมณฑลกวางตุ้งกลายเป็นทางน้ำท่วมขัง ซึ่งส่งผลให้การระบาดของไวรัสชิคุนกุนยา (Chikungunya) รุนแรงขึ้นจากฝูงยุงที่แพร่พันธุ์ในแหล่งน้ำเหล่านั้น โดยมณฑลกวางตุ้งรายงานพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 7,000 ราย
ทีมกู้ภัยทั่วพื้นที่ทางใต้ของจีนต้องเตรียมรับมือกับฝนตกหนักระลอกสุดท้ายในวันนี้ (6 ส.ค.) โดยเร่งระบายน้ำท่วมและเคลียร์เศษดินจากดินถล่ม ขณะฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมรสุมเอเชียตะวันออกกำลังเข้าสู่ช่วงรุนแรงที่สุด
กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่าจะยังมีพายุฝนฟ้าคะนองตามมาอีก หลังจากเมื่อวันก่อน ท้องฟ้าเหนือฮ่องกงและเมืองสำคัญในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ลหรือแม่น้ำจูเจียงเปลี่ยนเป็นสีดำ และเกิดฝนตกหนักที่สุดในเดือนส.ค. นับตั้งแต่ปี 2427
ทั้งนี้ มณฑลกวางตุ้งกำลังเผชิญแรงกดดันในการเตรียมรับมือน้ำท่วม โดยมีแม่น้ำ 16 สายที่ระดับน้ำใกล้ล้นตลิ่ง และสถานีวัดระดับน้ำ 2 แห่งในพื้นที่รายงานว่า ระดับน้ำสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2560 และ 2561
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลจีนได้จัดสรรงบประมาณช่วยเหลือภัยพิบัติกว่า 1 พันล้านหยวน (139.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสนับสนุนการกู้ภัยในมณฑลกวางตุ้ง เหอเป่ย ปักกิ่ง และเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน โดยรวมถึงเงินชดเชยความเสียหายของพื้นที่เพาะปลูกด้วย