ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย แสดงความเห็นในวันนี้ต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการโนเบลที่มอบรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพให้แก่นางมาเรีย คอรินา มาชาโด ผู้นำฝ่ายค้านจากเวเนซุเอลา แทนที่จะเป็นประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ
ทั้งนี้ ปธน.ปูตินกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ได้ทำหลายสิ่งเพื่อสันติภาพ 'ตะวันออกกลางถือเป็นตัวอย่างที่ดี'
นอกจากนี้ ปธน.ปูตินระบุว่า มีหลายกรณีที่คณะกรรมการโนเบลมอบรางวัลสันติภาพให้กับผู้ที่ไม่ได้ทำอะไรเพื่อสันติภาพเลย
'ความมีเกียรติของรางวัลส่วนใหญ่ได้สูญเสียไปแล้ว' ปธน.ปูตินกล่าว
อย่างไรก็ดี ปธน.ปูตินกล่าวเสริมว่า 'ผมไม่รู้ว่าเขา (ปธน.ทรัมป์) สมควรได้รับรางวัลนี้หรือไม่'
ด้านทำเนียบขาวแสดงความไม่พอใจต่อการที่ปธน.ทรัมป์ไม่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ แม้เขาเป็นผู้ผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา
นอกจากนี้ ทำเนียบขาวกล่าวหาว่าคณะกรรมการโนเบลให้ความสำคัญต่อประเด็นทางการเมืองมากกว่าสันติภาพ
'ประธานาธิบดีทรัมป์จะยังคงทำข้อตกลงสันติภาพทั่วโลกเพื่อยุติสงคราม และช่วยชีวิตผู้คนต่อไป ขณะที่คณะกรรมการโนเบลถูกพิสูจน์แล้วว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการเมืองมากกว่าสันติภาพ' นายสตีเวน เฉิง โฆษกทำเนียบขาว โพสต์ข้อความบน X
นายเจอร์เกน วัตเน ฟรีดเนส ประธานคณะกรรมการโนเบล ยืนยันว่า การตัดสินใจของคณะกรรมการฯ เป็นไปตามเจตนารมณ์ของนายอัลเฟรด โนเบล และไม่ได้รับอิทธิพลจากแรงกดดันทางการเมือง
แม้การตัดสินใจของคณะกรรมการโนเบลสร้างความไม่พอใจต่อหลายฝ่ายที่มองว่าปธน.ทรัมป์สมควรได้รับรางวัลดังกล่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้นำสหรัฐพลาดโอกาสในการคว้ารางวัลในปีนี้ เกิดจากหลักเกณฑ์ที่ว่า การเสนอชื่อผู้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปีนี้ ได้ถูกปิดรับไปตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.2568 ซึ่งขณะนั้น ปธน.ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ได้เพียง 11 วัน หลังจากทำการสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค.
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งนี้หมายความว่า ความพยายามในการผลักดันเพื่อสันติภาพของปธน.ทรัมป์ หรือการที่มีผู้เสนอชื่อเขาในปีนี้ ถือว่าช้าเกินไปที่จะถูกนับรวมในการพิจารณาให้เป็นผู้ชนะรางวัลประจำปี 2568
นอกจากนี้ การที่อิสราเอลและฮามาสเพิ่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิง และการที่ตัวประกันยังไม่ได้รับการปล่อยตัว อาจไม่ถือเป็นความสำเร็จที่ มั่นคงเพียงพอในสายตาของคณะกรรมการโนเบล
นายธีโอ เซนู นักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจากสถาบันเฮนรี แจ็กสัน กล่าวว่า รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนตลอดเวลาหลายเดือน โดยการอ้างความสำเร็จจากการทำข้อตกลงที่เพิ่งมีการทำขึ้นจะไม่ทำให้คณะกรรมการฯ เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจในนาทีสุดท้าย
อย่างไรก็ตาม ปธน.ทรัมป์ยังคงมีโอกาสสำหรับปีหน้า หากการหยุดยิงในกาซายังคงยืนยาวและนำไปสู่ข้อตกลงที่ครอบคลุมมากขึ้น
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การที่ปธน.ทรัมป์ออกมารณรงค์เรียกร้องอย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นผู้สมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ กลับเป็นกระแสตีกลับ และส่งผลเสียต่อตัวเขาเอง เนื่องจากคณะกรรมการโนเบลไม่ต้องการให้ถูกมองว่ามีการมอบรางวัลแก่ปธน.ทรัมป์เพราะยอมจำนนต่อแรงกดดัน
'การที่ปธน.ทรัมป์ออกมารณรงค์อย่างเปิดเผยเพื่อให้ได้รางวัลนี้ อาจสร้างความขุ่นเคืองต่อคณะกรรมการ พวกเขาให้คุณค่ากับความเป็นอิสระของตนเอง' นายเซนูกล่าว
นายแมทธิว มอคเฮฟี-แอชตัน ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนอตติงแฮม เทรนต์ กล่าวเช่นกันว่า 'พวกเขาไม่ต้องการมอบรางวัลให้ปธน.ทรัมป์ เพียงเพราะว่าเขาได้ผลักดันและล็อบบี้อย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา'
ขณะเดียวกัน นายเซนูกล่าวว่า 'การเลือกมอบรางวัลให้กับนางมาชาโด ถือเป็นการตัดสินใจที่ไม่มีข้อถกเถียง โดยคณะกรรมการต้องการย้ำจุดยืนในการสนับสนุนประชาธิปไตย และส่งสัญญาณถึงผู้นำเผด็จการหรือผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นเผด็จการทั่วโลก'
นายมอคเฮฟี-แอชตัน เชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้ ยังเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดของทางคณะกรรมการโนเบลเพื่อทำให้ปธน.ทรัมป์ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของคณะกรรมการฯ ได้อย่างเต็มปาก เนื่องจากปธน.ทรัมป์เองเป็นผู้สนับสนุนนางมาชาโดอย่างเปิดเผยในช่วงที่ผ่านมา โดยได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลของประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน การกดขี่ประชาธิปไตย การคอร์รัปชัน พร้อมทั้งสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรเพื่อกดดันรัฐบาลเวเนซุเอลา
'ปธน.ทรัมป์และพรรครีพับลิกันมักกล่าวโจมตีรัฐบาลสังคมนิยมของเวเนซุเอลามาอย่างยาวนาน ดังนั้น การมอบรางวัลให้กับผู้นำฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมาดูโร ทำให้เขาและพรรครีพับลิกันยากที่จะออกมาวิจารณ์การตัดสินใจนี้ได้' นายมอคเฮฟี-แอชตันกล่าว