สำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติมาเลเซีย (NADMA) รายงานสถานการณ์อุทกภัยล่าสุด หลังฝนที่ตกลงมาอย่างหนักต่อเนื่องในช่วงมรสุมส่งผลให้น้ำท่วมเป็นวงกว้างใน 7 รัฐ มีประชาชนได้รับผลกระทบรวมกว่า 11,000 คน
รายงานระบุว่า รัฐที่ได้รับผลกระทบประกอบด้วย เกดะห์ กลันตัน ปีนัง เประ ปะลิส ตรังกานู และสลังงอร์ โดยรัฐกลันตัน ซึ่งมีพรมแดนติดกับประเทศไทย มีสถานการณ์รุนแรงที่สุด มีผู้ประสบภัยสูงถึง 8,248 คน จากกว่า 3,000 ครอบครัว ซึ่งทางการได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราว (PPS) รองรับแล้ว 33 แห่ง เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
สำหรับสถานการณ์รายพื้นที่ รัฐกลันตันยังคงวิกฤตที่สุดโดยเฉพาะใน 4 อำเภอหลัก ได้แก่ โกตาบารู ตุมปัต บาจก และปาซีร์ปูเตะฮ์ ซึ่งที่อำเภอบาจกวัดปริมาณฝนตกสะสมได้สูงถึง 33.5 มิลลิเมตรในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
ส่วนที่รัฐปะลิส สถานการณ์ซ้ำซ้อนด้วยเหตุดินถล่มที่หมู่บ้านวังเกลียน ทำให้ชาวบ้านราว 400 คนติดค้าง แต่ทั้งหมดปลอดภัยและได้อพยพขึ้นไปพักที่มัสยิดบนที่สูงแล้ว โดยทางพันโท โมห์ด อิไซมี มด ดาวุด ผู้อำนวยการกองกำลังป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนรัฐปะลิส ยืนยันการจัดตั้งศูนย์พักพิง 6 แห่งเพื่อดูแลผู้ประสบภัย
ขณะเดียวกัน รัฐเประต้องเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่พุ่งสูงเกินระดับอันตราย ทั้งแม่น้ำบิดอร์ (สุไหงบิดอร์) ที่วัดระดับได้ 4.05 เมตร และแม่น้ำสลิม (สุไหงสลิม) ที่สูงแตะ 27.16 เมตร
ด้านรัฐสลังงอร์ซึ่งเป็นพื้นที่ล่าสุดที่ได้รับผลกระทบ ทางการได้เปิดศูนย์พักพิง 2 แห่งในเขตซาบักเบอร์นัมเพื่อรับมือสถานการณ์ ส่วนรัฐเกดะห์และตรังกานูสถานการณ์เริ่มทรงตัว โดยจำนวนผู้ประสบภัยเริ่มลดลงเล็กน้อย
ทั้งนี้ อุทกภัยในช่วงมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (ต.ค.-มี.ค.) ถือเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้นทุกปีในมาเลเซีย แต่ปีนี้มีความรุนแรงในหลายพื้นที่พร้อมกัน ทางการจึงสั่งเฝ้าระวังระดับน้ำในแม่น้ำสายสำคัญอย่างใกล้ชิด