รัฐบาลอินโดนีเซียเตรียมสอบสวนและเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทเหมืองแร่หากพบว่าทำผิดกฎระเบียบ จนเป็นเหตุให้อุทกภัยในเกาะสุมาตราทวีความรุนแรง ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการตัดไม้ทำลายป่า
ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเหตุน้ำท่วมและดินถล่มใน 3 จังหวัด ได้แก่ สุมาตราตะวันตก สุมาตราเหนือ และอาเจะฮ์ พุ่งสูงถึง 800 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 564 ราย โดยดินถล่มได้ตัดขาดไฟฟ้าและเส้นทางคมนาคม เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อการส่งความช่วยเหลือเข้าพื้นที่ เหตุการณ์นี้เป็นผลจากพายุไซโคลนที่สร้างความเสียหายทั่วภูมิภาค ทั้งในไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ต่อเนื่องยาวนานหลายเดือน
ฮานิฟ ไฟซล นูโรฟิก รัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมระบุว่า ภัยพิบัติเกิดจากสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงรุนแรงผสมโรงกับพื้นที่ป่าที่ลดลง ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชี้ชัดว่า การทำเหมืองและการลักลอบตัดไม้คือตัวการซ้ำเติมปัญหา เห็นได้จากดินถล่มที่ทิ้งร่องรอยความเสียหายและภาพท่อนซุงจำนวนมากที่ถูกน้ำซัดมาเกยตื้น ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากในโลกออนไลน์
บะฮ์ลิล ลาฮาดาเลีย รัฐมนตรีพลังงาน ซึ่งลงพื้นที่เยี่ยมผู้อพยพ ประกาศว่าจะไม่ลังเลในการเพิกถอนใบอนุญาตบริษัทเหมือง หากตรวจสอบพบว่าฝ่าฝืนกฎระเบียบ
กลุ่มสิ่งแวดล้อม JATAM เปิดเผยว่า มีพื้นที่ป่าราว 54,000 เฮกตาร์ (ประมาณ 3.3 แสนไร่) ถูกเปลี่ยนสถานะเป็นเขตสกัดทรัพยากร ซึ่งส่วนใหญ่คือการทำเหมือง หนึ่งในผู้ถือสัมปทานคือบริษัท พีที อาจินคอร์ต รีซอร์สเซส (PT Agincourt Resources) ผู้ดำเนินกิจการเหมืองทองมาร์ตาเบ (Martabe) ซึ่งทางบริษัทได้ปฏิเสธความเกี่ยวข้อง โดยระบุว่าการเชื่อมโยงเหมืองกับน้ำท่วมเป็นข้อสรุปที่ด่วนตัดสินและไม่ถูกต้อง
ข้อมูลจากเดวิด กาโว ผู้ก่อตั้งนูซันตารา แอตลาส (Nusantara Atlas) ระบุว่า ระหว่างปี 2544-2567 เกาะสุมาตราสูญเสียพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 4.4 ล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 27.5 ล้านไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์