เมอร์เซอร์ (Mercer) บริษัทจัดการสินทรัพย์ของสหรัฐเปิดเผยรายงานผลสำรวจค่าครองชีพประจำปีนี้พบว่า กรุงอาชกาบัต (Ashgabat)เมืองหลวงของเติร์กเมนิสถาน เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลกสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ
รายงานประจำปีของเมอร์เซอร์จัดอันดับเมือง 209 แห่งโดยพิจารณาจากการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าที่พัก, ค่าเดินทาง, ค่าอาหาร และความบันเทิง โดยใช้นครนิวยอร์กเป็นฐานเปรียบเทียบ
กรุงอาชกาบัตซึ่งอยู่ในอันดับ 2 เมื่อปีที่แล้วนั้นเป็นเมืองที่ผิดคาดใน 10 อันดับแรกของเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดในโลก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจชั้นนำ เช่น ฮ่องกง (ครองอันดับ 1 เมืองที่ค่าครองชีพสูงที่สุดในปีที่แล้ว และอันดับ 2 ในปีนี้) โตเกียว (อันดับ 4 ของปีนี้) ซูริค (อันดับ 5 ของปีนี้) และสิงคโปร์ (อันดับ 7 ของปีนี้)
เมอร์เซอร์ระบุว่า วิกฤตการเงินของเติร์กเมนิสถาน ซึ่งทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารและเงินเฟ้อขั้นรุนแรงเป็นสาเหตุที่ทำให้ค่าครองชีพในกรุงอาชกาบัตเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงอันดับรุนแรงที่สุดในการจัดอันดับของเมอร์เซอร์ในปีนี้ได้แก่กรุงเบรุต เมืองหลวงของเลบานอน ซึ่งกระโดดขึ้นจากเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุดสำหรับแรงงานต่างชาติอันดับ 45 ในปี 2563 มาสู่อันดับ 3 ในปีนี้
เมอร์เซอร์ระบุว่า สาเหตุดังกล่าวเกิดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของเลบานอน ซึ่งเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเหตุการณ์ท่าเรือเบรุตระเบิดเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว
ขณะเดียวกัน สกุลเงินยูโรที่เพิ่มขึ้นเกือบ 11% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เมืองในยุโรปอยู่ในอันดับเมืองที่มีค่าครองชีพสูงกว่าเมื่อเทียบกับเมืองในสหรัฐ ซึ่งทำให้นครนิวยอร์กหลุดจาก 10 อันดับแรกในปีนี้ ขณะที่กรุงปารีสขยับอันดับเพิ่มจากอันดับ 50 ในปี 2563 สู่อันดับที่ 33 ในปี 2564
สำหรับ 10 อันดับเมืองที่ค่าครองชีพแพงที่สุดในปี 2564 มีดังนี้:
1. อาชกาบัต (เติร์กเมนิสถาน)
2. ฮ่องกง (จีน)
3. เบรุต (เลบานอน)
4. โตเกียว (ญี่ปุ่น)
5. ซูริค (สวิตเซอร์แลนด์)
6. เซี่ยงไฮ้ (จีน)
7. สิงคโปร์
8. เจนีวา (สวิตเซอร์แลนด์)
9. ปักกิ่ง (จีน)
10. เบิร์น (สวิตเซอร์แลนด์)