In Focusซานาเอะ ทาคาอิจิ "สตรีเหล็ก" ผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองญี่ปุ่น บนเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday October 22, 2025 12:56 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

วันที่ 21 ตุลาคม ซานาเอะ ทาคาอิจิ นักการเมืองอนุรักษนิยมขวาจัดวัย 64 ปี ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับการเมืองญี่ปุ่น เมื่อเธอได้รับการลงมติจากรัฐสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ แต่กว่าที่เธอจะก้าวขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดบนเส้นทางการเมืองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

แม้ทาคาอิจิได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งคนสำคัญอย่าง ชินจิโร โคอิซูมิ บุตรชายของอดีตนายกรัฐมนตรี จุนอิชิโร โคอิซูมิ ในการลงคะแนนเลือกหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ตำแหน่งนี้แทบจะลอยมาพร้อมเก้าอี้นายกรัฐมนตรี แต่เมื่อถึงคราวของทาคาอิจิ มันกลับไม่แบเบอร์อย่างที่คิด เมื่อจู่ ๆ พรรค LDP กลับต้องมาปิดฉากความสัมพันธ์กับพันธมิตรเก่าแก่ที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานถึง 26 ปี ก่อนการลงมติโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในรัฐสภาเพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์

In Focus สัปดาห์นี้ จะพาไปย้อนดูเส้นทางสู่ชัยชนะของเจ้าของฉายา "สตรีเหล็กแห่งญี่ปุ่น" ที่ต้องฟันฝ่าทั้ง "เพดานแก้ว" เรื่องเพศ ความพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมรสุมการเมืองที่ถาโถมเข้าใส่ตั้งแต่ก่อนเธอจะได้เข้าพิธีรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ลองมาดูกันว่า แนวคิดชาตินิยมสุดแข็งกร้าวของเธอจะสามารถสร้างเสถียรภาพให้ประเทศ และพาเธอเดินต่อในเส้นทางนี้ได้ไกลแค่ไหน

*เด็กสาวจากต่างจังหวัด ดนตรีเฮฟวีเมทัล และความหลงใหลในยานยนต์

ซานาเอะ ทาคาอิจิ เกิดเมื่อวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2504 ที่จังหวัดนารา สำเร็จการศึกษาจากคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยโกเบ ในปี 2527

ภูมิหลังส่วนตัวของทาคาอิจินั้นน่าสนใจและแตกต่างจากนักการเมืองทรงอิทธิพลส่วนใหญ่ของพรรค LDP ที่มักมาจากตระกูลชนชั้นนำ หรือไม่ก็ตระกูลการเมืองเก่าแก่ เธอเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางที่มีคุณแม่เป็นตำรวจ และคุณพ่อทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในเครือโตโยต้า ขณะที่การเมืองยังเป็นเรื่องห่างไกลในวัยเยาว์

สมัยวัยรุ่น ทาคาอิจิเป็นแฟนเพลงเฮฟวีเมทัลตัวยง ศิลปินวงโปรด ได้แก่ Black Sabbath, Iron Maiden และ Deep Purple อีกทั้งเธอยังเคยเป็นมือกลองให้กับวงดนตรีของมหาวิทยาลัยโกเบด้วย นอกจากนี้ ทาคาอิจิยังมีความสนใจในเรื่องของยานยนต์ โดยเธอเคยเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ Kawasaki Z400 ส่วนรถสปอร์ต Toyota Supra คันโปรดของเธอก็เคยถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ที่นาราด้วย

ขณะเดียวกัน เส้นทางการศึกษาของเธอสะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคของผู้หญิงในยุคสมัยนั้นที่ต้องเผชิญกับค่านิยมชายเป็นใหญ่ในสังคม ทาคาอิจิเปิดเผยในบันทึกความทรงจำว่า เธอเคยได้รับโอกาสเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังอย่างเคโอหรือวาเซดะ แต่สุดท้ายเธอเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยโกเบซึ่งเป็นของรัฐ โดยเธอเล่าว่าพ่อแม่กดดันให้เธอเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐใกล้บ้าน แทนที่จะไปเรียนสถาบันเอกชนชั้นนำในโตเกียว เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าเธอซึ่งเป็นผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนสูงถึงระดับมหาวิทยาลัย อีกทั้งพ่อแม่ยังต้องการเก็บเงินค่าเล่าเรียนไว้สนับสนุนน้องซึ่งเป็นผู้ชายด้วย

*จุดเริ่มต้นอุดมการณ์ สู่เส้นทางการเมืองสายเหยี่ยว

หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ทาคาอิจิเข้าศึกษาต่อที่สถาบัน Matsushita Institute of Government and Management และได้รับทุนไปฝึกงานเป็น Congressional Fellow ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กับ แพท ชโรเดอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ซึ่งประสบการณ์สองปีในสหรัฐฯ ทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามกับสถานะของญี่ปุ่นในเวทีโลก "ถ้าญี่ปุ่นไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ประเทศก็จะตกเป็นเหยื่อของมุมมองที่ผิวเผินจากต่างชาติอยู่ร่ำไป" ความคิดนี้คือจุดเริ่มต้นของแนวทางชาตินิยมที่แข็งกร้าวซึ่งฝังลึกอยู่ในการเมืองของเธอจนถึงทุกวันนี้

เมื่อกลับมาญี่ปุ่นในปี 2532 เธอยังไม่ได้กระโดดเข้าสู่สนามการเมืองทันที โดยทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวให้กับ TV Asahi และสร้างชื่อเสียงในฐานะนักโต้วาทีที่มีลีลาจัดจ้าน ซึ่งงานนี้เปิดโอกาสให้เธอได้พัฒนาทักษะในการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่ง ก่อนจะลงเล่นการเมืองอย่างจริงจัง

*ศิษย์เอก "อาเบะ" กับภาพสะท้อนของ "Iron Lady" ในแบบฉบับญี่ปุ่น

ทาคาอิจิได้รับเลือกตั้งเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2536 และเข้าร่วมพรรค LDP ในปี 2539 เธอได้รับการสนับสนุนจากอดีตนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ และได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ ในคณะรัฐมนตรีของอาเบะ รวมทั้งเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นประธานสภาวิจัยนโยบายของพรรค LDP

ทาคาอิจิถือเป็นศิษย์เอกและผู้สืบทอดทางอุดมการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้ล่วงลับอย่างแท้จริง การก้าวขึ้นสู่อำนาจของเธอจึงถูกมองว่าเป็นการกลับมาของกระแสชาตินิยมขวาจัด เพื่อกอบกู้ฐานเสียงอนุรักษนิยมที่กำลังอ่อนแรงของพรรค LDP โดยทาคาอิจิได้ใช้จุดยืนชาตินิยมเพื่อเรียกฐานเสียง ครั้งหนึ่งเธอเคยกล่าววิจารณ์ชาวต่างชาติที่เตะกวางในนารา เพื่อเรียกร้องให้มีการควบคุมการเข้าเมืองและนักท่องเที่ยวอย่างเข้มงวดมากขึ้น ท่ามกลางกระแสความหวาดกลัวหรือเกลียดชังชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นในญี่ปุ่น

อีกหนึ่งสิ่งที่อาจสะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองของทาคาอิจิคือ การที่เธอชื่นชม มาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นักการเมืองพรรคอนุรักษนิยม ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษในช่วงปี 2522-2533 และต้นตำรับฉายา "สตรีเหล็ก" ซึ่งกลายมาเป็นฉายาของทาคาอิจิเช่นกัน

*ล้มสองครั้ง พยายามถึงสามหน

ก่อนจะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทาคาอิจิประสบความพ่ายแพ้หลายครั้งในอาชีพการเมือง โดยเธอลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2535 ในเขตจังหวัดนาราในฐานะผู้สมัครอิสระ แต่พ่ายแพ้ เธอต้องใช้เงินบำนาญของพ่อเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงครั้งนั้น

แต่บททดสอบที่ท้าทายที่สุดของทาคาอิจิ คือ การช่วงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่า ตำแหน่งนี้พ่วงมากับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยอัตโนมัติ

เธอเข้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP เป็นครั้งแรกในปี 2564 แต่พ่ายแพ้ให้กับ ฟุมิโอะ คิชิดะ และตัดสินใจลงชิงชัยอีกครั้งในปี 2567 และแม้ว่าเธอจะได้รับคะแนนสูงสุดในการลงคะแนนรอบแรก แต่สุดท้าย เธอกลับพบกับความพ่ายแพ้ในรอบตัดสินให้กับ ชิเงรุ อิชิบะ

ชัยชนะในการเป็นหัวหน้าพรรค LDP เมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา จึงถือเป็นความพยายามครั้งที่สามของเธอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ในการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยหลังคว้าชัยชนะ เธอกล่าวกับสมาชิกพรรคอย่างสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า "การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น"

*ทำลายเพดานแก้ว แต่ไม่ใช่เฟมินิสต์?

เมื่อเข้าสู่สนามการเมือง เธอยังต้องเผชิญกับความท้าทายในสภาที่เต็มไปด้วยผู้ชาย ทาคาอิจิเคยให้สัมภาษณ์ในปี 2536 ว่า เพื่อนร่วมงานชายมักจะพูดคุยเรื่องงานกันในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับ สส. หญิง เช่น ห้องซาวน่า นอกจากนี้ เธอยังกล่าวว่า เป็นเรื่องยากมากที่ผู้หญิงจะพบปะกับผู้ชายสองต่อสองหลังเวลา 5 โมงเย็น เพราะเกรงว่าจะเกิดข่าวลือหรือเรื่องอื้อฉาวที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมา

แม้การที่ผู้หญิงคนหนึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมถือเป็นการทำลายเพดานแก้ว (Glass Ceiling) ทั้งสำหรับตัวเธอเองและผู้หญิงในสังคมญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ย้อนแย้งคือ ทาคาอิจิกลับมีจุดยืนที่อนุรักษนิยมอย่างยิ่งในประเด็นทางสังคม

เธอถูกวิจารณ์ว่า "ไม่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิง" เพราะจัดอยู่ในกลุ่มนักการเมืองที่ต่อต้านมาตรการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอสนับสนุนการสืบราชสันตติวงศ์โดยผู้ชายเท่านั้น ต่อต้านการสมรสเพศเดียวกัน และปฏิเสธการแก้ไขกฎหมายที่อนุญาตให้คู่สมรสใช้คนละนามสกุลได้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นการทำลายประเพณีอันดีงาม นักวิจารณ์ระบุว่า นโยบายของเธอนั้นเป็น "สายเหยี่ยวจัด" และมองไม่เห็นความเป็นไปได้ที่เธอจะเปิดใจรับนโยบายที่ยอมรับความหลากหลายเลย

*จาก "อาเบะโนมิกส์" สู่ "ซานาเอะโนมิกส์"

ไม่เพียงอุดมการณ์อนุรักษนิยมทางการเมืองเท่านั้น ในด้านนโยบายเศรษฐกิจ ทาคาอิจิยังได้รับเอาวิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจของอาเบะ หรือที่เรียกว่า "อาเบะโนมิกส์" (Abenomics) มาสานต่อด้วยเช่นกัน โดยเรียกแนวทางของเธอว่า "นโยบายเศรษฐกิจแรงดันสูง" (High-Pressure Economy) มุ่งเน้นการใช้จ่ายทางการคลังและการผ่อนคลายทางการเงิน (Dovish) เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ในด้านการคลัง ทาคาอิจิสนับสนุนการออกพันธบัตรเพื่อใช้จ่ายในมาตรการสำคัญ โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เธอได้ปรับลดวาทกรรมที่แข็งกร้าวลงเล็กน้อย โดยย้ำถึงความสำคัญของวินัยการคลัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดและหลีกเลี่ยงการถูกมองว่านโยบายของเธอจะกลายเป็นต้นตอของวิกฤตทางการเงิน

ส่วนในด้านนโยบายการเงิน เธอมีจุดยืนผ่อนคลายและเน้นการประสานงานกับธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยคาดว่าเธอจะยอมรับแนวทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ BOJ แต่จะผลักดันอย่างหนักหากอัตราดอกเบี้ยสูงเกิน 1.00% ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจตึงตัวเกินไป

ปฏิกิริยาเบื้องต้นของตลาดต่อการได้รับเลือกของเธอเป็นไปในทิศทางบวก โดยเงินเยนอ่อนค่าลง และดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดตลาดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 49,316.06 จุด จากความหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่

นอกจากนี้ อีกหนึ่งนโยบายที่โดดเด่นน่าจับตาที่สุดของทาคาอิจิ คือ การสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์และนิวเคลียร์ฟิวชัน แทนการเน้นพลังงานหมุนเวียนอย่างรัฐบาลชุดก่อน ทาคาอิจิเชื่อว่า การกลับไปพึ่งพานิวเคลียร์จะช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลราคาแพง ซึ่งจะช่วยลดการขาดดุลการค้า และกลายเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เงินเยน

*การรับมือ "ทรัมป์" และรักษาระยะกับประเทศเพื่อนบ้าน

ในแง่ของนโยบายต่างประเทศ ทาคาอิจิให้ความสำคัญสูงสุดกับพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา การที่เธอมีความใกล้ชิดกับอดีตนายกฯ อาเบะ ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์อันดีกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เธอถูกคาดหมายว่าจะสามารถสร้าง "ความไว้วางใจส่วนตัว" กับทรัมป์ได้เช่นกัน อีกทั้งคาดว่าประสบการณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. ทำให้เธอมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกลไกการเมืองของสหรัฐฯ และอาจกลายเป็นแต้มต่อสำคัญในการเจรจาต่อรองระหว่างประเทศ

ขณะเดียวกัน คาดว่าเธอพร้อมที่จะเพิ่มงบประมาณกลาโหมให้สูงขึ้น เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของทรัมป์ที่ต้องการให้ญี่ปุ่นเพิ่มค่าใช้จ่ายทางทหารและซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ มากขึ้น แลกกับการที่สหรัฐฯ ยังคงยึดมั่นในข้อตกลงความมั่นคงในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม หันกลับมามองความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน จุดยืนที่แข็งกร้าวของเธอสร้างความเสี่ยงต่อความสัมพันธ์กับจีนและเกาหลีใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เธอเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุกุนิเป็นประจำ โดยศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสถานที่ระลึกถึงผู้เสียชีวิตจากสงครามของญี่ปุ่น รวมถึงอาชญากรสงคราม เนื่องจากทาคาอิจิเชื่อว่า "ความโหดร้ายของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกพูดเกินจริงไป"

ทั้งนี้ หากเธอตัดสินใจไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้ในฐานะนายกรัฐมนตรี ก็อาจเป็นการจุดชนวนความตึงเครียดทางประวัติศาสตร์กับสองประเทศเพื่อนบ้านขึ้นมาอีกครั้ง และอาจทำลายความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่เริ่มดีขึ้นในสมัยรัฐบาลก่อนหน้า

*รัฐบาลเสียงข้างน้อย คือ บททดสอบที่แท้จริง

การขึ้นสู่ตำแหน่งของทาคาอิจิเกิดขึ้นในภาวะที่รัฐบาลภายใต้การนำของพรรค LDP เปราะบางอย่างยิ่ง เนื่องจากพรรคเพิ่งประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองนานกว่าสามเดือน แถมยังต้องมาสูญเสียพันธมิตรเก่าแก่อย่าง พรรคโคเม (Komeito) ที่ประกาศถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลไปแบบกะทันหัน

ผลคือ LDP ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่มีเสียงข้างมากในทั้งสภาบนและสภาล่างเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ บีบให้ทาคาอิจิต้องรีบจัดตั้งแนวร่วมฉุกเฉินกับพรรคฝ่ายค้านขนาดเล็กอย่าง พรรคนวัตกรรมญี่ปุ่น (JIP) ในนาทีสุดท้าย เพื่อรักษาอำนาจได้เป็นรัฐบาลต่อไป

อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถตั้งรัฐบาลผสมได้สำเร็จ แต่ก็เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่อาจประสบภาวะชะงักงันทางการเมืองในการผ่านร่างงบประมาณหรือกฎหมายสำคัญ เนื่องจากทั้งสองพรรคมีความเห็นต่างกันอย่างชัดเจนในนโยบายเศรษฐกิจ สิ่งเดียวที่เป็นกาวเชื่อมสองพรรคเข้าด้วยกันคือ วาระชาตินิยมและการปฏิรูปความมั่นคง ซึ่งรวมถึงการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ให้กองกำลังป้องกันตนเอง (SDF) เป็นกองทัพเต็มรูปแบบ

ด้วยความเปราะบางนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงคาดการณ์ว่า รัฐบาลของทาคาอิจิอาจมี "อายุสั้น" และอาจทำให้เธอต้องตัดสินใจยุบสภาจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนดภายในปีนี้ แม้นั่นจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการให้เกิดขึ้นก็ตาม

ซานาเอะ ทาคาอิจิ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมืองได้ด้วยความพยายามและความแน่วแน่ในอุดมการณ์ แต่เส้นทางข้างหน้านั้นไม่ง่าย ความสามารถของเธอในการประคับประคองรัฐบาล เปลี่ยนแนวคิดชาตินิยมให้กลายเป็นความมั่นคงทางการเมือง จะเป็นบทพิสูจน์ครั้งสำคัญ ท่ามกลางความคาดหวังของประชาชนญี่ปุ่น และสายตาของนานาประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ