รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเผชิญศึกสำคัญ เมื่อศาลฎีกาสหรัฐฯ มีกำหนดเปิดฉากการไต่สวนในวันที่ 5 พ.ย. เพื่อพิจารณาว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หลังศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยก่อนหน้านี้ให้เพิกถอนมาตรการภาษีส่วนใหญ่ โดยเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977
คดีนี้มีโจทก์ร่วม 12 รัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต และธุรกิจขนาดเล็ก 2 กลุ่ม ได้แก่ Learning Resources และ V.O.S. Selections ซึ่งโต้แย้งว่าการใช้กฎหมายความมั่นคงเพื่อเก็บภาษีขัดต่อรัฐธรรมนูญและละเมิดอำนาจของรัฐสภา ขณะที่ฝ่ายทรัมป์ยืนยันว่ามาตรการดังกล่าวจำเป็นต่อการปกป้องความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ
ทั้งสองฝ่ายมีเวลาแถลงโต้แย้งด้วยวาจาฝ่ายละ 40 นาที โดยเริ่มจากทนายความฝ่ายที่ยื่นอุทธรณ์ ซึ่งในคดีนี้คือรัฐบาลสหรัฐฯ และตามด้วยฝ่ายตรงข้าม ก่อนที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้ง 9 คนจะซักถามอย่างเข้มข้นเพื่อทำความเข้าใจประเด็นและทดสอบความหนักแน่นของข้อโต้แย้งในทางกฎหมาย
อย่างไรก็ดี การพิจารณาคดีครั้งนี้ครอบคลุมเพียงบางส่วนของภาษีที่ทรัมป์ประกาศ เนื่องจากรัฐบาลยังใช้อำนาจตามกฎหมายอื่นๆ ควบคู่กัน เพื่อเก็บภาษี เช่น ภาษีตามมาตรา 232 ของกฎหมายขยายการค้าปี 1962 ซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในเชิงยุทธศาสตร์ เช่น รถยนต์ ทองแดง เซมิคอนดักเตอร์ ยา หุ่นยนต์ และอากาศยาน และภาษีตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าปี 1974
*ประเด็นสำคัญของคดี
ประเด็นสำคัญของคดีภาษีทรัมป์อยู่ที่การตีความขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดีภายใต้กฎหมาย IEEPA ว่ามีสิทธิกำหนดภาษีศุลกากรโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสหรือไม่ และการประกาศภาวะฉุกเฉินนั้นถือเป็นข้ออ้างที่ถูกต้องหรือไม่
ฝ่ายทรัมป์อ้างอิงกฎหมาย IEEPA เพื่อประกาศให้ปัญหาการขาดดุลการค้าเรื้อรัง รวมถึงการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิลและยาเสพติดอื่น ๆ เป็น "ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ" เพื่อเปิดทางให้เรียกเก็บภาษีศุลกากร โดยฝ่ายบริหารให้เหตุผลว่ากฎหมายฉบับนี้มอบอำนาจให้ประธานาธิบดี "ควบคุมการนำเข้า" เพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่ไม่ปกติและร้ายแรงในภาวะฉุกเฉิน จึงตีความว่าคำว่า "ควบคุม" ครอบคลุมถึงอำนาจในการกำหนดภาษีศุลกากรด้วย
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโจทก์กลับมองว่าการตีความเช่นนั้นเกินขอบเขตของเจตนารมณ์กฎหมาย เพราะตัวบทไม่ได้ระบุคำว่า "ภาษีศุลกากร" (tariffs) หรือ "ภาษี" (taxes) ไว้อย่างชัดเจน จึงเห็นว่าประธานาธิบดีควรใช้มาตรการคว่ำบาตรได้เฉพาะในภาวะฉุกเฉินเท่านั้น อีกทั้ง ทรัมป์ยังมีกฎหมายการค้าอื่นที่สามารถใช้ปรับภาษีเพื่อแก้ปัญหาสมดุลการค้าอยู่แล้ว
อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญคือการตีความคำว่า "ภาวะฉุกเฉิน" ฝ่ายโจทก์โต้แย้งว่า การที่ทรัมป์อ้างว่าการขาดดุลการค้าที่ดำเนินมาอย่างยาวนานเป็น "ภัยคุกคามที่ไม่ปกติและร้ายแรง" จนถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินตามกฎหมาย IEEPA ถือเป็นการตีความที่บิดเบือนเจตนารมณ์ของกฎหมาย เพราะในความเป็นจริง สหรัฐฯ ขาดดุลการค้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1975 แต่ไม่เคยมีการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติในประเด็นนี้มาก่อน
**แพ้ทั้งในศาลชั้นต้น-ศาลอุทธรณ์ ก่อนถึงศาลสูงสุด
ก่อนที่คดีจะเข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกา รัฐบาลทรัมป์พ่ายแพ้ทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ โดยทั้งสองศาลเห็นตรงกันว่า ประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตตามกฎหมาย IEEPA
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. ศาลการค้าระหว่างประเทศสหรัฐฯ ในนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศาลแรกที่รับพิจารณาคดี มีคำสั่งระงับการบังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรทั้งหมด โดยชี้ว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ส่งผลให้ฝ่ายบริหารยื่นอุทธรณ์ทันที
ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ศาลอุทธรณ์มีมติ 7 ต่อ 4 ยืนตามคำตัดสินเดิมให้เพิกถอนมาตรการภาษีส่วนใหญ่ โดยเห็นว่าทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของ IEEPA อย่างไรก็ตาม ศาลมีคำสั่งชะลอการระงับภาษีไว้ชั่วคราว เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลสามารถยื่นคำร้องต่อศาลสูงสุดภายในวันที่ 14 ต.ค. ทำให้มาตรการภาษียังคงมีผลบังคับใช้ระหว่างรอคำตัดสินขั้นสุดท้าย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 ก.ย. ศาลฎีกาสหรัฐฯ จึงมีมติรับคำอุทธรณ์จากฝ่ายบริหารของทรัมป์ให้พิจารณาเรื่องนี้โดยเร่งด่วน และมีกำหนดรับฟังการแถลงด้วยวาจาในวันที่ 5 พ.ย. นี้
*ทรัมป์ยันภาษีศุลกากรคือเกราะป้องกันชาติ
ทรัมป์ระบุว่าคดีนี้เป็นหนึ่งในคดีที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ และเคยประกาศว่าจะเข้าร่วมฟังการพิจารณาด้วยตนเอง ก่อนจะเปลี่ยนใจ โดยให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจและเบี่ยงเบนความสำคัญของคดี
แม้จะตัดสินใจไม่เข้าฟังการพิจารณาคดี ทรัมป์ยังคงปกป้องมาตรการภาษีของตนเอง โดยยืนยันว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความสมดุลทางการค้าระหว่างประเทศ หลังจากที่สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบจากประเทศคู่ค้ามานานหลายปี และต้องเผชิญกับอัตราภาษีระดับสูงจากนานาประเทศ
ทรัมป์มองว่า มาตรการภาษีนี้จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสหรัฐฯ พร้อมย้ำว่า หากสหรัฐฯ ไม่มีภาษี ก็จะไม่มีความมั่นคงแห่งชาติ และทั่วโลกจะหัวเราะเยาะ เพราะประเทศต่าง ๆ ใช้ภาษีเป็นอาวุธทำร้ายและเอาเปรียบสหรัฐฯ มานานหลายปี
ทั้งนี้ ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีคนแรกที่บังคับใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งโดยปกติแล้วมักถูกใช้เพื่อกำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อประเทศคู่แข่ง โดยกฎหมายนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการควบคุมธุรกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภทได้อย่างกว้างขวาง เมื่อมีการประกาศภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ
*ศึกชี้ขาดสมดุลอำนาจฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ
ผลการตัดสินของศาลฎีกาในคดีภาษีศุลกากรนี้ อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการกำหนดขอบเขตอำนาจของประธานาธิบดี และพลิกสมดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติในสหรัฐฯ
ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาตรา 1 อนุมาตรา 8 อำนาจในการจัดเก็บและกำหนดอัตราภาษีเป็นของรัฐสภา หากศาลตัดสินเข้าข้างทรัมป์ ก็เท่ากับเป็นการขยายอำนาจฝ่ายบริหาร และดึงอำนาจนิติบัญญัติของสภาไปอยู่ในมือประธานาธิบดี เนื่องจากทรัมป์อ้างใช้กฎหมาย IEEPA ซึ่งเป็นกฎหมายด้านความมั่นคง มาเก็บภาษีแทนกฎหมายการค้า
เอลิซาเบธ กอยทีน ผู้อำนวยการอาวุโสจากศูนย์ยุติธรรมเบรนแนน สถาบันวิเคราะห์นโยบายที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด มองว่า คดีนี้มีเดิมพันที่สูงกว่าประเด็นนโยบายการค้า เพราะคำตัดสินของศาลอาจเป็นตัวชี้ว่า การใช้อำนาจฉุกเฉินของฝ่ายบริหารเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐสภา จะกลายเป็นเครื่องมือของการบริหารราชการตามปกติหรือไม่
เจฟฟรีย์ ไบอาลอส หุ้นส่วนบริษัทกฎหมายgอเวอร์เชดส์ ซัทเทอร์แลนด์ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ แสดงความเห็นที่สอดคล้องกันว่า หากทรัมป์ชนะ รัฐบาลในอนาคตอาจอ้างอำนาจตามกฎหมาย IEEPA เพื่อกำหนดอัตราภาษีในวงกว้าง แทนที่จะพึ่งพากฎหมายอื่นที่มีขอบเขตจำกัดและต้องผ่านกระบวนการอนุมัติที่เข้มงวดมากกว่า
*ทีมทรัมป์เตรียมแผนสำรองหากคำตัดสินพลิก
สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า หากศาลตัดสินให้มีการเพิกถอนการจัดเก็บภาษีศุลการการดังกล่าว ปธน.ทรัมป์ก็สามารถหันไปใช้กฎหมายอื่นแทนได้ เช่น มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 1974 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีนำเข้าได้สูงถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังสามารถใช้มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 1930 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเก็บภาษีนำเข้ามากถึง 50% จากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐฯ
เบสเซนต์ระบุว่า คุณควรคิดไว้เลยว่าภาษีเหล่านี้จะยังคงอยู่ต่อไป ประเทศที่ได้ทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก็ควรรักษาข้อตกลงนั้นไว้ ประเทศที่ได้ดีลดี ๆ ไปแล้ว ก็ควรจะยึดไว้ให้มั่น
ทั้งนี้ กระบวนการทางกฎหมายนี้ไม่เกี่ยวข้องกับมาตรการภาษีแบบเจาะจงกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ภาษีนำเข้ารถยนต์และเหล็ก ซึ่งถูกบังคับใช้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงภายใต้กฎหมายอีกฉบับหนึ่ง
*ตลาดการเงินป่วน หากศาลคว่ำภาษี
หากศาลฎีกามีคำตัดสินให้ยกเลิกภาษีศุลกากรที่อ้างอิงตามกฎหมาย IEEPA ตลาดการเงินอาจเผชิญความปั่นป่วน โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องคืนเงินภาษีมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ที่เก็บไปแล้ว และจะสูญเสียรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี
ภาษีที่เรียกเก็บตามกฎหมาย IEEPA ในปีนี้ ถือเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของรายได้ศุลกากรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 1.18 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2568 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. โดยรายได้ส่วนนี้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล เช่น ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม ดอกเบี้ย และงบกลาโหม ซึ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ ลดลงสู่ระดับ 1.715 ล้านล้านดอลลาร์
เออร์นี เทเดสกี นักวิจัยอาวุโสจากศูนย์วิจัยด้านงบประมาณ มหาวิทยาลัยเยล แสดงความเห็นว่า นี่คือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สำคัญ เพราะเรากำลังติดนิสัยพึ่งพารายได้จากภาษีเหล่านี้ พร้อมเสริมว่า การพึ่งพาภาษีเช่นนี้จะทำให้รัฐบาลในอนาคตลดภาษีได้ยากขึ้น
ขณะเดียวกัน แองเจลา ลูอิส หัวหน้าฝ่ายศุลกากรของบริษัทเฟล็กซ์พอร์ต กล่าวว่า การคืนเงินก็จะซับซ้อนมากเช่นกัน เพราะยังไม่เคยมีการเพิกถอนภาษีในระดับนี้มาก่อน โดยผู้ประกอบการนำเข้าจะต้องยื่นคำขอแก้ไขต่อกรมศุลกากรของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก ใช้เวลาหลายปี และอาจไม่คุ้มค่าสำหรับบริษัทขนาดเล็ก
*แนวโน้มทิศทางการตัดสินของศาล
คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาสหรัฐฯ ชุดปัจจุบัน 9 คน เป็นผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมถึง 6 คน ซึ่ง 3 คนในจำนวนนี้เป็นผู้ที่ทรัมป์แต่งตั้ง นอกจากนี้ คณะผู้พิพากษาชุดนี้ยังเคยตัดสินเข้าข้างทรัมป์มาแล้วในหลายคดีก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ศาลก็เคยขัดขวางความพยายามของประธานาธิบดีในการออกนโยบายภายในประเทศที่มีผลกระทบวงกว้างโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส เช่น โครงการยกหนี้นักศึกษาหลายพันล้านดอลลาร์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าผลคำตัดสินในคดีนี้คาดเดาได้ยาก
เฮนนีเอตตา เทรย์ซ หุ้นส่วนผู้จัดการของบริษัทเวดา พาร์ตเนอร์ส ประเมินโอกาสของคดีนี้ไว้ราว 50:50 พร้อมระบุว่า มีโอกาส 50-65% ที่ศาลฎีกาจะตัดสินเข้าข้างศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ และวินิจฉัยว่าประธานาธิบดีไม่มีอำนาจตามที่อ้าง
ขณะที่พอล สเตฟาน ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย มองว่า คณะผู้พิพากษาอาจตีความกันไปคนละทิศละทาง และมีโอกาสไม่เข้าข้างประธานาธิบดีในประเด็นนี้
ด้านโจนาธาน แอดเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายรัฐธรรมนูญจากวิทยาลัยกฎหมายวิลเลียมแอนด์แมรี แสดงความเห็นที่สอดคล้องว่า คดีนี้คาดเดายาก เพราะในบริบททางกฎหมายฝ่ายอนุรักษ์นิยมใช้เป็นกรอบอ้างอิง มีปัจจัยสองอย่างที่ส่งผลไปคนละทาง กล่าวคือ หากศาลมองคดีนี้เป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศ ฝ่ายบริหารก็มีโอกาสชนะ แต่ถ้ามองเป็นเรื่องการตีความตามตัวบทกฎหมาย ฝ่ายบริหารก็มีโอกาสแพ้
ทั้งนี้ ผลการตัดสินขั้นสุดท้ายจะต้องใช้เวลาหลายเดือน แม้ศาลฎีกาจะเปิดรับพิจารณาอย่างเร่งด่วน เนื่องจากประเด็นต่าง ๆ มีความซับซ้อนสูง และคาดว่าคำวินิจฉัยช้าสุดอาจออกภายในสิ้นเดือนมิ.ย. 2569
ผลการตัดสินคดีครั้งประวัติศาสตร์นี้อาจไม่เพียงแค่สั่นคลอนวาระทางเศรษฐกิจของทรัมป์เท่านั้น แต่ยังอาจเขย่าสมดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งอาจกำหนดกรอบการใช้อำนาจของประธานาธิบดีและรัฐบาลสหรัฐฯ ไปอีกหลายปีข้างหน้า