ศึกแย่งชิงอำนาจในบริษัท Nexperia ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับจีน ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานชิปทั่วโลกอย่างหนัก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากชิปของ Nexperia ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในรถยนต์ตั้งแต่ระบบเบรกไปจนถึงหน้าต่างไฟฟ้า เมื่อโรงงานของ Nexperia ในเมืองตงกวน มณฑลกวางตุ้ง หยุดส่งชิป จึงทำให้ค่ายรถญี่ปุ่นหลายรายขาดแคลนชิ้นส่วนจนต้องลดปริมาณการผลิตรถยนต์ ขณะที่ซัพพลายเออร์ของเยอรมนีบางแห่งลดชั่วโมงการทำงานของโรงงาน วิกฤตชิปที่ปะทุขึ้นนี้ให้บทเรียนกับอุตสาหกรรมยานยนต์และสะท้อนความสำคัญของภูมิรัฐศาสตร์อย่างไร In Focus จะพาไปหาคำตอบ
* บริบทสงครามชิปเลกาซีระดับโลก
ในขณะที่โลกจับตาการแข่งขันด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยระหว่างสหรัฐฯ กับจีน วิกฤต Nexperia ได้ทำให้ "ชิปเลกาซี' (legacy chip) หรือชิปรุ่นเก่า กลายมาเป็นแนวหน้าใหม่ของการต่อสู้เพื่อชิงความเป็นเจ้าอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ชิปเลกาซีมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้งานทางทหาร รวมทั้งภาคพลเรือน เช่น ยานยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ชิปเลกาซีเหล่านี้ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีขนาด 28 นาโนเมตร หรือใหญ่กว่า แม้จะไม่ได้ล้ำสมัยเท่าชิปรุ่นใหม่ แต่กลับเป็นกระดูกสันหลังของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ระบบอาวุธ และอุตสาหกรรมทั่วโลก
จีนครองตำแหน่งผู้จัดหาชิปเลกาซีรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็น 31% ของตลาดโลก ในขณะที่สหรัฐฯ พยายามใช้การลงทุนผ่านกฎหมาย CHIPS Act เพื่อควบคุมเกือบ 30% ของตลาดชิปโดยรวมภายในปี 2575 ทั้งสองฝ่ายทุ่มทรัพยากรอย่างมหาศาล โดยสหรัฐฯ จัดสรรงบ 5.27 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนสร้างกองทุน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อพึ่งพาตนเองในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า สหรัฐฯ จะมีมาตรการที่มุ่งเป้าไปที่จีนมากขึ้น โดยเฉพาะการจำกัดการใช้ชิปจีนในประเทศตะวันตก ซึ่งจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดรุนแรงขึ้น และวิกฤต Nexperia ก็ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า สงครามชิปเลกาซีนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของสหรัฐฯ กับจีนเท่านั้น แต่ยุโรปกำลังกลายเป็นสนามรบโดยตรง
สถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนรถทั่วโลกเกิดขึ้น เมื่อบริษัท Nexperia ในเมืองไนเมเกิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ถูกรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยึดอำนาจการควบคุม โดยให้เหตุผลเรื่องความมั่นคงเพราะเกรงว่าเทคโนโลยีของบริษัทอาจจะถูกส่งต่อให้จีน ส่งผลให้บริษัทแม่ Wingtech Technology ซึ่งรัฐบาลจีนถือหุ้นอยู่ด้วยส่วนหนึ่งนั้น เดินหน้าทวงคืนอำนาจการบริหารจัดการ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์
* เนเธอร์แลนด์ใช้กฎหมายยุคสงครามโลกยึด Nexperia
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2568 กระทรวงเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ได้ใช้กฎหมายสมัยสงครามโลกเมื่อปี 2495 ที่เรียกว่า Goods Availability Act สั่งห้าม Nexperia ไม่ให้ย้ายสินทรัพย์ของบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเนเธอร์แลนด์เป็นเวลา 1 ปี เนื่องจากความกังวลด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์และยุโรป หลังจากที่ผู้บริหารชาวจีนของ Nexperia ในเนเธอร์แลนด์ได้ย้ายกำลังการผลิต ทรัพยากรทางการเงิน และทรัพย์สินทางปัญญาไปต่างประเทศแบบลับ ๆ
นอกจากนี้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยังเป็นผลพวงมาจากมาตรการของสหรัฐฯ ที่ทำให้ Nexperia ถูกคว่ำบาตรโดยปริยาย เนื่องจาก Wingtech Technology ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Nexperia ถูกสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำเมื่อเดือนธ.ค. 2567 ต่อมาสำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ภายใต้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศกฎใหม่เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ควบคุมการส่งออกไปยังบริษัทที่มีผู้ถือหุ้นเป็นบริษัทแบล็กลิสต์และถือหุ้นอย่างน้อย 50% ดังนั้นจึงส่งผลให้ Nexperia เข้าข่ายถูกแบนโดยอัตโนมัติ
* เนเธอร์แลนด์ยอมปลดล็อก หลังซัพพลายเชนยุโรปกระทบหนัก
ในระหว่างที่มีการยื้ดยุดฉุดกระชากอำนาจในการบริหาร Nexperia วงการยานยนต์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนในที่สุด รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้กลับลำและยกเลิกการใช้กฎหมายที่ใช้ควบคุม Nexperia เปิดทางให้บริษัทสามารถกลับไปดำเนินการตามปกติ
วินเซนต์ คาร์เรมันส์ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเนเธอร์แลนด์ กล่าวถึงการปลดล็อก Nexperia ว่า เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวล่าสุด นี่เป็นช่วงเวลาเหมาะสมที่จะดำเนินการอย่างสร้างสรรค์ด้วยการระงับคำสั่งของตนเองเกี่ยวกับ Nexperia พร้อมเผยว่าเขาได้ปรึกษาหารือเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดกับพันธมิตรในยุโรปและต่างประเทศ
สื่อมองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยอมปลดล็อก Nexperia เป็นเพราะแรงกดดันจากอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก หลังจีนตอบโต้อย่างหนักด้วยการหยุดส่งออกชิปจนทำให้อุปทานรถยนต์ทั่วโลกเกือบพัง
วิกฤต Nexperia นับเป็นปัญหาล่าสุดที่อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเผชิญ โดยหากย้อนกลับไปตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา การผลิตรถยนต์ต้องสะดุดมาแล้วหลายครั้งหลังจากที่จีนใช้มาตรการควบคุมการส่งออกวัสดุ มีรายงานว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์เยอรมันรายหนึ่งต้องจอดรถคาไว้ถึง 100,000 คัน เพราะรอแม่เหล็กสำหรับติดตั้งหน้าต่างจากจีน
* ยุโรปกลายเป็นเป้าหมายโดยตรง ไม่ใช่แค่ผลพวงจากสงครามจีน-สหรัฐฯ
ลิซ่า โอ แคร์รอล จาก The Guardian วิเคราะห์ว่า การตัดสินใจของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในการเข้าแทรกแซงและควบคุม Nexperia เมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เกือบจะทำให้อุตสาหกรรมรถของยุโรปทั้งหมดต้องหยุดชะงัก
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดคำถามตามมาเกี่ยวกับความไม่สมดุลทางการค้าระหว่างสหภาพยุโรป (อียู) กับจีนที่รุนแรงขึ้น โดยหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม การทูต และรัฐบาล ต่างแสดงความกังวลว่า ยุโรปไม่ใช่แค่ผลพวงของความเสียหายจากสงครามการเมืองระหว่างจีน-สหรัฐฯ อีกต่อไป แต่กลายเป็นเป้าหมายโดยตรง
แอนดรูว์ สมอล สมาชิกจากกลุ่ม German Marshall Fund และอดีตที่ปรึกษาด้านจีนของคณะกรรมาธิการยุโรป มองว่า ยุโรปได้เข้าสู่สถานการณ์ที่ต้องรับมือกับวิกฤตที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ล้ำเส้นจีนไปแล้ว
"จีนเคลื่อนไหวหลายต่อหลายครั้ง แม้ไม่ได้ต้องการให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องยุติการผลิตจริง ๆ แค่กดดันเรื่องการจัดหาวัตถุดิบ หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็เหมือนกับการทำให้ยุโรปอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นรองอยู่ตลอด ยุโรปไม่ใช่เหยื่อของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ อีกต่อไป ผมคิดว่า ตอนนี้หลายฝ่ายเริ่มที่จะเข้าใจในจุดนี้แล้ว" สมอลกล่าวด้านโนอาห์ บาร์กิน ที่ปรึกษาของกลุ่ม Rhodium Group โพสต์ข้อความบน LinkedIn ว่า วิกฤต Nexperia และแร่หายากควรจะปลุกยุโรปให้ตื่นจากความมึนงงเกี่ยวกับการลดการพึ่งพาจีนได้แล้ว และยังได้วิจารณ์ความเฉื่อยชาของเยอรมนีในการดำเนินการเพื่อเปลี่ยนสมดุลความสัมพันธ์กับจีน โดยเขาได้อ้างถึงนโยบายของอียูที่เออร์ซูลา วอน เดอร์ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ได้แถลงเมื่อเดือนมีนาคม 2563 ว่าด้วย "การลดความเสี่ยง" ในการพึ่งพาจีน แต่ไม่ใช่ "การตัดขาด"
ทางด้านอเล็กซ์ โล คอลัมนิสต์ของเซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า แม้จีนจะเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าวกับชาติตะวันตก แต่กับประเทศอื่น ๆ จีนเป็นพันธมิตรที่ตรงไปตรงมาและมีประโยชน์ร่วมกัน
ทั้งนี้ หลังจากที่จีนและสหรัฐฯ ทำข้อตกลงสงบศึกทางการค้า ประกอบกับที่เนเธอร์แลนด์ยอมปลดล็อก จีนจึงยอมไฟเขียวกลับมาเปิดทางให้ Nexperia ทรงออกชิปได้ แต่ภายใต้เงื่อนไขเวลาเพียง 12 เดือน และจำกัดเฉพาะการใช้งานภาคพลเรือนเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่ายังมีโอกาสที่จีนจะเข้าแทรกแซงอุตสาหกรรมการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ฟื้นตัวของสหภาพยุโรป หรือแม้แต่ชัตดาวน์อุตสาหกรรมยานยนต์โลกอีกครั้ง
ที่ผ่านมานั้น บริษัทผู้ผลิตรถระดับโลกเคยได้รับบทเรียนมาแล้วจากการที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การขาดแคลนชิปช่วงหลังโควิด และออกมายืนยันว่าจะส่งเสริมการจัดหาชิปและเซมิคอนดักเตอร์ อย่างไรก็ตาม แอมบรอส คอนรอย ซีอีโอของบริษัท Seraph Consulting ซึ่งให้คำปรึกษาแก่ผู้ผลิตรถยนต์ กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า ในบรรดาบริษัทผู้ผลิตรถยนต์นั้น ไม่มีใครเตรียมพร้อมสำหรับวิกฤตที่เกิดจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างแท้จริง
วิกฤต Nexperia สะท้อนให้เห็นถึงอำนาจและบทบาทของผู้ครอบครองชิปกับผู้ใช้ชิปได้เป็นอย่างดี ตลอดจนชี้ให้เห็นว่า การครอบงำของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่เทคโนโลยีล้ำสมัยหรือแร่ธาตุหายากเท่านั้น แต่ยังขยายวงไปถึงชิ้นส่วนธรรมดาที่กลับมีความสำคัญต่อการผลิตทั่วโลก และจีนก็พร้อมที่จะใช้อำนาจนี้ทำให้ห่วงโซ่อุปทานโลกเป็นอัมพาตได้ทุกเมื่อ