In Focusส่องความตึงเครียดญี่ปุ่นจีนประเด็นไต้หวัน ผลกระทบต่อภูมิภาคและประเทศไทย

ข่าวต่างประเทศ Wednesday December 3, 2025 14:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เมื่อญี่ปุ่นออกมาแสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการปกป้องไต้หวัน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อจีนและทั่วทั้งภูมิภาค ซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศไทยด้วย

In Focus สัปดาห์นี้จะวิเคราะห์แง่มุมต่าง ๆ ของสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมประเมินผลกระทบและโอกาสที่อาจเกิดขึ้น

*บริบทใหม่ในภูมิภาค: คำพูดเดียวเขย่าเสถียรภาพ

ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวในรัฐสภาเมื่อต้นเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาว่า หากจีนใช้กำลังโจมตีไต้หวัน ญี่ปุ่นอาจร่วมตอบโต้ทางทหาร หากเหตุการณ์นั้นถือเป็น "ภัยคุกคามต่อความอยู่รอดของญี่ปุ่น"

คำกล่าวของทาคาอิจิที่ว่า การโจมตีหรือปิดล้อมไต้หวันโดยจีนจะเป็นภัยต่อ "ความอยู่รอด" ของญี่ปุ่น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์ เพราะคำว่า "ความอยู่รอด" มีผลทางกฎหมายที่เปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถใช้กำลังทหารนอกประเทศได้ ถ้อยแถลงดังกล่าวของทาคาอิจิทำให้ภูมิภาครับรู้ว่า ญี่ปุ่นพร้อมมีบทบาทชัดเจนในการปกป้องไต้หวัน ซึ่งเป็นประเด็นที่จีนถือเป็นเส้นแดง (Red Line) ซึ่งหากถูกละเมิด ก็อาจนำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรงที่สุด

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเผชิญกับการแข่งขันกันแผ่อิทธิพลระหว่างมหาอำนาจ ขณะที่พื้นที่แถบไต้หวันและช่องแคบไต้หวันมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อญี่ปุ่นโดยตรง เพราะเป็นเส้นทางเดินเรือ และอยู่ใกล้กับหมู่เกาะของญี่ปุ่น

ที่ผ่านมา ญี่ปุ่นและหลายชาติในภูมิภาคระมัดระวังที่จะไม่แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนต่อไต้หวันเพื่อลดความเสี่ยงต่อการปะทะกับจีน แต่การออกมาแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของทาคาอิจินั้นถือเป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนเกมไปจากเดิม

การเสริมความร่วมมือกับสหรัฐฯ และยกระดับกองกำลังป้องกันตัวเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อาจเปิดทางให้ญี่ปุ่นสามารถใช้สิทธิป้องกันตนเองร่วม (Collective Self-Defense) เมื่อช่องแคบไต้หวันเกิดวิกฤต

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นกำลังปรับตัวครั้งใหญ่ด้านความมั่นคงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยจะเพิ่มงบด้านกลาโหมให้ถึงระดับ 2% ของ GDP ขยายความร่วมมือกับสหรัฐฯ พิจารณาขีดความสามารถในการป้องปรามระยะไกล และเปิดกว้างต่อการปกป้องไต้หวันโดยตรง ซึ่งการประกาศว่า "เสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงแห่งชาติของญี่ปุ่น" นั้น ได้เปลี่ยนสมการของภูมิภาคในทันที โดยทำให้การโจมตีไต้หวันอาจกลายเป็นการเผชิญหน้าในระดับภูมิภาค

*จีนเดินหน้าตอบโต้ญี่ปุ่นอย่างแข็งกร้าว

จีนประกาศคัดค้านญี่ปุ่นอย่างรุนแรง โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนเตือนว่า หากญี่ปุ่นกล้าส่งกองกำลังเข้าแทรกแซงในช่องแคบไต้หวัน จะถือเป็น "การรุกราน" และจีนจะใช้ "มาตรการตอบโต้สุดขีด"

มาตรการตอบโต้ของจีนต่อคำพูดของทาคาอิจิ เช่น การข่มขู่ สั่งลดการนำเข้าสินค้าญี่ปุ่น ห้ามนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปญี่ปุ่น และเพิ่มการลาดตระเวนในพื้นที่พิพาท ล้วนสะท้อนถึงความวิตกที่ว่า กลยุทธ์ของจีนใน "การบีบให้ไต้หวันยอมจำนน" กำลังล้มเหลว

นอกจากนี้ การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันในช่วงต้นปี 2571 นั้น หากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) ชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ก็จะยิ่งสร้างความมั่นคงและอัตลักษณ์ของไต้หวันที่แยกตัวออกจากจีน ทำให้จีนอาจต้องเพิ่มแรงกดดันทางเศรษฐกิจ การโจมตีทางไซเบอร์ และการซ้อมรบรอบไต้หวัน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดการปะทะกันโดยไม่ตั้งใจ

ประชาคมในจีนคาดหวังให้รัฐบาลยืนหยัดเกี่ยวกับประเด็นไต้หวันอย่างจริงจัง จึงมีแรงกดดันอย่างมากให้จีนตอบโต้ หากญี่ปุ่นเข้ามาแทรกแซงประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่าเท่ากับเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของจีน

จีนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถอนคำพูดประเด็นไต้หวัน แต่รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังไม่มีท่าทีใด ๆ ที่บ่งบอกว่าจะยอมถอย กลับยืนยันว่า การแถลงดังกล่าวเป็นการสะท้อนยุทธศาสตร์ความมั่นคงและบทบาทของญี่ปุ่นในการปกป้องเสถียรภาพของภูมิภาค ขณะที่ในญี่ปุ่นเองนั้น ประชาชนบางส่วนได้จัดการชุมนุมและประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนท่าทีที่มีต่อจีนและไต้หวัน โดยผู้ประท้วงระบุว่าการประกาศของทาคาอิจิอาจนำพาประเทศเข้าสู่ความเสี่ยงจากความขัดแย้งทางทหารและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ด้านจีนก็กำลังปลุกกระแสชาตินิยมขึ้นภายในประเทศเพื่อควบคุมความคิดเห็นสาธารณะเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน ขณะที่การเพิ่มแรงกดดันและการเผชิญหน้ากับญี่ปุ่นอาจทำให้จีนไม่สามารถล่าถอยทางการทูตได้ง่าย ๆ ส่งผลให้ภูมิภาคก้าวเข้าสู่ยุคที่การคำนวณทางยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจนำไปสู่ความขัดแย้งที่ยากจะควบคุมได้

เอกอัครราชทูตจีนประจำสหประชาชาติได้ยื่นจดหมายถึงอันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เป็นครั้งที่สองเมื่อวันจันทร์ (1 ธ.ค.) โดยวิจารณ์คำกล่าวเกี่ยวกับไต้หวันของทาคาอิจิ ซึ่งจีนมองว่าเป็น "การยั่วยุ" พร้อมกับเรียกร้องให้เธอถอนคำพูดโดยทันที

สำหรับสถานการณ์ตึงเครียดล่าสุดนั้น หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (2 ธ.ค.) เรือลาดตระเวนของหน่วยยามฝั่งจีนได้แล่นเข้าไปในน่านน้ำของญี่ปุ่นรอบหมู่เกาะเซนกากุซึ่งเป็นหมู่เกาะในจังหวัดโอกินาวา และได้แล่นออกจากพื้นที่หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง โดยเรือของหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่นได้ออกคำสั่งให้เรือจีนออกจากน่านน้ำดังกล่าว

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนรายงานว่า ประมาณ 40% ของเที่ยวบินที่มีกำหนดเดินทางจากจีนไปยังญี่ปุ่นในเดือนธ.ค.ได้ถูกยกเลิกแล้ว ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าข้อพิพาทระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ทวีความรุนแรงขึ้นนั้น กำลังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางทางอากาศ

ขณะเดียวกัน การเดินหน้าของญี่ปุ่นในการวางแผนติดตั้งขีปนาวุธบนเกาะที่อยู่ใกล้กับไต้หวัน ทำให้จีนออกแถลงการณ์ว่า เป็นการยั่วยุและเพิ่มความเสี่ยงต่อความตึงเครียดในภูมิภาค

*บทบาทของสหรัฐฯ และท่าทีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ไม่ได้ตอบสนองต่อความพยายามของจีนในการกดดันญี่ปุ่น เขาเพียงแต่แสดงความ "เข้าใจ" ต่อมุมมองของจีน ขณะเดียวกันทรัมป์กลับอนุมัติการขายอาวุธของสหรัฐฯ ให้กับไต้หวัน ซึ่งทำให้จีนไม่สามารถคาดหวังได้ว่า การเจรจาด้านการค้าจะสามารถแลกกับการให้สหรัฐฯ ลดการสนับสนุนไต้หวันลงได้ ผลลัพธ์ก็คือจีนต้องเผชิญกับแรงกดดันสองด้านพร้อมกันคือจากสหรัฐฯ ที่สนับสนุนไต้หวัน และจากญี่ปุ่นที่ประกาศจุดยืนชัดเจนในการปกป้องไต้หวัน

หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานในช่วงปลายเดือนพ.ย.ว่า ทรัมป์ได้แนะนำทาคาอิจิระหว่างการหารือกันทางโทรศัพท์ว่า ญี่ปุ่นไม่ควรยั่วยุจีนเรื่องอธิปไตยของไต้หวัน อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า ทรัมป์แนะนำอย่างนุ่มนวลและไม่ได้กดดันให้นายกฯ ทาคาอิจิถอนคำพูดแต่อย่างใด เพียงแค่บอกให้ทาคาอิจิเพลา ๆ คำพูดเรื่องไต้หวันลงบ้าง พร้อมทั้งระบุเพิ่มเติมว่า เขาทราบเรื่องข้อจำกัดทางการเมืองในญี่ปุ่น และเข้าใจดีว่าทาคาอิจิคงถอนคำพูดที่ทำให้จีนโกรธกลับคืนมาทั้งหมดไม่ได้

ขณะที่เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2568 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติการขายชิ้นส่วนเครื่องบินรบให้ไต้หวันมูลค่า 330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นดีลแรกภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน เพื่อช่วยรักษาความพร้อมทางอากาศและเสริมความสามารถในการป้องกันตนเองของไต้หวัน ท่ามกลางกิจกรรมทางทหารและแรงกดดันอย่างต่อเนื่องจากจีน

การตัดสินใจดังกล่าวถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า สหรัฐฯ ยืนหยัดที่จะไม่ถอนการสนับสนุนต่อไต้หวัน แม้เผชิญแรงกดดันทางการทูตจากจีน และจีนก็ตอบโต้ด้วยการยื่นข้อคัดค้านต่อสหรัฐฯ พร้อมคำเตือนว่าจะใช้มาตรการทั้งหมดเพื่อปกป้องอธิปไตย หากมีการแทรกแซงด้านการทหารที่เกี่ยวกับไต้หวัน

ทั้งนี้ ดีลการค้าอาวุธและท่าทีที่ต่อเนื่องของสหรัฐฯ มีแนวโน้มจะยกระดับความเสี่ยงในภูมิภาค เพราะยิ่งมีการเพิ่มแรงกดดันต่อจีน ก็จะยิ่งเป็นชนวนให้จีนตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้ที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งรุนแรงโดยไม่ตั้งใจ

ด้านจอร์จ กลาส เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น ได้สร้างความเชื่อมั่นแก่พันธมิตรของสหรัฐฯ หากจีนเกิดแทรกแซงทางทหาร ขึ้นมาจริง ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกตัวสนับสนุนญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ โดยประกาศคัดค้านอย่างชัดเจนต่อความพยายามใด ๆ ของจีนที่จะเปลี่ยนสถานะปัจจุบันในช่องแคบไต้หวันหรือทะเลจีนตะวันออกแต่เพียงฝ่ายเดียว

โดยที่ผ่านมา จีนมักกล่าวหาว่าญี่ปุ่นดำเนินนโยบายตามยุทธศาสตร์การกีดกันของสหรัฐฯ พร้อมทั้งคัดค้านการมีส่วนร่วมของญี่ปุ่นในความร่วมมือด้านความมั่นคง 4 ฝ่าย (QUAD) รวมถึงข้อตกลงด้านความมั่นคงใหม่ของญี่ปุ่นเช่นกับออสเตรเลีย และล่าสุดกับฟิลิปปินส์ ในขณะที่อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศอื่น ๆ มุ่งเน้นท่าทีที่เป็นกลาง

*ผลกระทบต่อประเทศไทย: โอกาสและความเสี่ยง

ความตึงเครียดระหว่างจีนกับญี่ปุ่นอาจดูเหมือนปัญหาที่ไกลตัว แต่แท้จริงแล้ว ผลกระทบอาจเข้ามาเกี่ยวข้องกับไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในด้านโอกาส สิ่งที่เห็นได้ทันทีคือกระแสนักท่องเที่ยวจีนที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่แทนญี่ปุ่น เมื่อการเดินทางไปญี่ปุ่นกลายเป็นเรื่องท้าทายขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยวจีน ทั้งในแง่ความรู้สึกและบรรยากาศทางการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นคือเม็ดเงินบางส่วนที่เคยมุ่งไปญี่ปุ่นเริ่มหันมามองปลายทางใหม่ และไทยมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์หลายด้าน ทั้งไม่ต้องขอวีซ่า ค่าครองชีพไม่แพง และเมืองท่องเที่ยวที่คนจีนคุ้นเคยมานาน หากกระแสนี้ดำเนินต่อไป ภาคท่องเที่ยวซึ่งเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทยอาจได้รับแรงกระตุ้นในช่วงเวลาที่เหมาะสม

อีกด้านหนึ่งคือการขยับของภาคการลงทุนญี่ปุ่นที่กำลังพิจารณากระจายความเสี่ยงจากจีน ไทยจึงอาจได้รับความสนใจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ ความได้เปรียบของไทยไม่ใช่เพียงแรงงานหรือทำเล แต่รวมถึงความไว้วางใจที่สั่งสมมานาน ไทยอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกของผู้ผลิตญี่ปุ่น หากสามารถสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มั่นคงและสอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุน

อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงก็ยังมีอยู่ แม้โรงงานประกอบจำนวนมากจะอยู่ในไทย แต่หัวใจของการผลิต โดยเฉพาะวัตถุดิบต้นน้ำ ยังเชื่อมโยงกับจีน หากจีนปรับมาตรการการส่งออกวัตถุดิบสำคัญ หรือปรับความสัมพันธ์ด้านอุตสาหกรรมกับบริษัทญี่ปุ่น ผลกระทบอาจส่งตรงมายังไลน์ผลิตในไทย การขาดชิ้นส่วนสำคัญเพียงไม่กี่รายการก็อาจทำให้สายการผลิตต้องหยุดชะงัก และต่อเนื่องไปยังแรงงาน ผู้ประกอบการ ตลอดทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรม

ความเสี่ยงด้านพลังงานและการขนส่งก็น่ากังวลเช่นกัน เนื่องจากเส้นทางเดินเรือในทะเลจีนตะวันออกและช่องแคบไต้หวันเป็นหนึ่งจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการค้าโลก เมื่อความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ต้นทุนด้านโลจิสติกส์และราคาพลังงานอาจผันผวน ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการส่งออก ธุรกิจส่งออกที่มีสัดส่วนสูงในเศรษฐกิจไทยจะเผชิญต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตไทยในตลาดต่างประเทศ

ขณะเดียวกันอีกด้านที่มองข้ามไม่ได้คือ ความมั่นคงและยุทธศาสตร์การทหาร โดยไทยต้องพยายามรักษาสมดุลในความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และจีนอย่างรอบคอบ และอาจต้องแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากขึ้นในประเด็นความมั่นคงของภูมิภาค

คำกล่าวของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ไม่ใช่เพียงถ้อยคำทางการเมือง แต่เป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก วิกฤตไต้หวันไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอีกต่อไป แต่กลายเป็นประเด็นที่ดึงมหาอำนาจและประเทศในภูมิภาคเข้าไปเกี่ยวข้อง

สำหรับประเทศไทยนั้น การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด การรักษาสมดุลทางการทูต การประเมินผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยี และความมั่นคง รวมถึงการเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับนั้นถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติ และรักษาบทบาทต่าง ๆ ที่สำคัญของไทยในภูมิภาค


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ