In Focusจับตาอนาคตจีนในยุค "สี จิ้นผิง Forever" และการผ่าโครงสร้างครั้งใหญ่ในเวทีประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ

ข่าวต่างประเทศ Wednesday March 14, 2018 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

มหาศาลาประชาชนของจีนปีนี้คึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นสถานที่จัดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือ "ฉวนกั๋วเหรินต้า" ชุดที่ 13 แล้ว สื่อทุกสำนักทั่วโลกยังจับตาความเคลื่อนไหวและให้พื้นที่ข่าวตั้งแต่การประชุมเปิดฉากวันแรกเมื่อ 5 มีนาคมที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ ภาพห้องประชุมขนาดใหญ่ที่คุมโทนด้วยสีแดงและน้ำตาลทองผ่องอำไพ ภาพดาวแดงดวงใหญ่ที่รายล้อมด้วยดวงไฟสีขาวนับร้อยบนเพดาน และภาพหน้าเวทีซึ่งมีฉากหลังเป็นตราสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ยิ่งทำให้บรรยากาศการประชุมดูมีมนต์ขลัง และสะกดสายตาผู้สังเกตการณ์อย่างเราๆท่านๆได้ดียิ่งนัก

การประชุม NPC ซึ่งเปิดฉากไปเมื่อวันจันทร์ที่ 5 มีนาคมนั้น จัดขึ้นหลังจากสภาที่ปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติของจีน (CPPCC) ได้นำร่องการประชุมไปเมื่อวันเสาร์ที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา การจัดประชุมแบบคู่ขนาน หรือที่เรียกว่า "Two Sessions" ปีนี้ ถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากสื่อมวลชน นักคิด นักวิเคราะห์ทางการเมือง ไม่เว้นแม้แต่นักเคลื่อนไหวและนักลงทุนในตลาดหุ้น เพราะนอกจากจะมีการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญเนื่องในโอกาสครบรอบ 40 ปีที่จีนเริ่มปฏิรูปและเปิดประเทศแล้ว ยังถือเป็นการประชุมครั้งแรกที่จัดขึ้นภายหลังการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ขณะที่สื่อกระแสหลักของจีนก็ปูดข่าวกันออกมาแต่เนิ่นๆแล้วว่า ที่ประชุม NPC คราวนี้จะมีการรับรองให้บัญญัติแนวคิดของนายสี จิ้นผิง ลงในรัฐธรรมนูญ รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกข้อกำหนดวาระในการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ซึ่งจะเปิดทางให้สี จิ้นผิง สามารถนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีได้ต่อไปหลังจากปี 2566

และแล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อที่ประชุม NPC มีมติเห็นชอบด้วยคะแนน 2,958 เสียง หรือ 99.8%, คัดค้าน 2 เสียง และงดออกเสียง 3 เสียง ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยกเลิกข้อกำหนดที่ว่าประธานาธิบดีจะดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย หรือ 10 ปี ซึ่งจะปูทางให้สี จิ้นผิง สามารถครองอำนาจต่อไปได้อย่างไม่มีกำหนด

* ถอดรหัสปฏิบัติการอุ้ม "สี จิ้นผิง" ขึ้นแท่นประธานาธิบดีตลอดกาล

ข่าวการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อกรุยทางให้สี จิ้งผิง นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีจีนตลอดชีพนั้น ถือเป็นข่าวใหญ่ในรอบสัปดาห์นี้ นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญการเมืองต่างก็นำเรื่องนี้ไปวิเคราะห์ วิจารณ์ และขบคิดกันเป็นวงกว้าง บ้างก็ว่า การที่ NPC ซึ่งเปรียบเสมือน "สภาตรายาง" ของพรรคคอมมิวนิสต์ เปิดทางให้สี จิ้นผิง ผูกขาดบัลลังก์ผู้นำนั้น แสดงให้เห็นว่า จีนกำลัง "ย้อนเวลาหาอดีต" ด้วยการละทิ้งระบบการปกครองแบบ "การนำรวมหมู่" ซึ่งอดีตผู้นำอย่าง เติ้ง เสี่ยวผิง ได้แผ้วถางเอาไว้นั้น กลับไปสู่การปกครองด้วยระบบ "การนำโดยบุคคลคนเดียว" เหมือนยุคของประธานเหม๋า เจ๋อ ตุง ที่กุมอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ... และคำถามที่ตามมาคือ เหตุใดจีนจึงกล้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อสี จิ้นผิง และจีนมีเป้าหมายอะไรในการย้อนกลับไปสู่ยุคการปกครองแบบเดิม

มุมมองหนึ่งที่น่าสนใจก็คือว่า การที่จีนยอมเปิดโอกาสให้ สี จิ้นผิง อยู่ยาวนั้น ก็เพื่อให้เป้าหมายการพัฒนาประเทศที่กำหนดไว้ในระยะยาวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่สะดุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อภิมหาโครงการอย่าง "One Belt One Road" หรือโครงการเส้นทางสายไหมยุคใหม่ที่สี จิ้นผิง ริเริ่มขึ้นเพื่อหมายมั่นให้จีนก้าวขึ้นเป็น "ฮับ" ที่จะผนึกเส้นทางการค้า 3 ทวีปให้เป็นหนึ่งเดียว ... "One Belt One Road" ซึ่งเป็นเสมือนโครงการขายฝันของสี จิ้นผิง ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นจากผู้นำทั่วโลก ด้วยความหวังที่ว่า สี จิ้นผิง จะโอบอุ้มการค้าบนเส้นทางสายไหมยุคใหม่ให้ตลอดรอดฝั่งโดยไม่ทิ้งใครไว้กลางทาง เหมือนอย่างสหรัฐที่ชิงถอนตัวจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) เพียงเพื่อจะหันไปปลุกปั้นแคมเปญ "America First" ที่หลายฝ่ายเหน็บแนมว่าเป็นแนวคิดที่คับแคบ และต้องการโดดเดี่ยวตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งเชื่อว่า การที่ NPC ตีตั๋วยาวให้สี จิ้นผิง ขึ้นทำเนียบประธานาธิบดีตลอดกาลนั้น อาจช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์มีความต่อเนื่องในการสะสางปัญหาที่เรื้อรังของบ้านเมือง เช่น ปัญหาคอร์รัปชัน วิกฤตหนี้สิน และปัญหาฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันที่สี จิ้นผิง ให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ในช่วงที่จีนเผชิญวิกฤตสภาพคล่องเมื่อปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่ สี จิ้นผิง เพิ่งก้าวขึ้นมารับตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนนั้น สี จิ้นผิง ได้ลุกขึ้นมาผ่าตัดโครงสร้างเศรษฐกิจขนานใหญ่ ด้วยการยึดนโยบายการคลังที่มีวินัย และยอมให้หลายภาคส่วนต้อง "กินยาขม" ในระยะสั้น เพื่อสร้างเศรษฐกิจให้อยู่ในภาวะสมดุล และเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว จนทำให้ทุกวันนี้ จีนประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เคยพึ่งพาการส่งออกเป็นรายได้หลัก ไปเป็นการกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ

อย่างไรก็ดี ผู้สันทัดกรณีกลุ่มหนึ่งได้แสดงทัศนะที่น่าสนใจว่า การที่ สี จิ้นผิง เดินหน้ากวาดล้างคอร์รัปชันอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น อาจมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง เนื่องจากการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทุจริตไม่ได้กระทำอย่างเปิดเผยและโปร่งใส ซึ่งทำให้เกิดข้อกังขามากมายถึงความพยายามที่จะกำจัดคู่แข่งทางการเมือง เช่น กรณีของ นายป๋อ ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาฉงชิ่งและสมาชิกคณะกรรมการกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ชุดที่ 17 ผู้ซึ่งเคยได้รับการจับตาว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีจีนในอนาคต แต่นายป๋อ ซีไหล ถูกขับออกจากพรรค และถูกลงโทษจำคุก พร้อมยึดทรัพย์สินด้วยความผิดฐานคอร์รัปชัน

ด้านนักวิเคราะห์อีกฝากหนึ่งก็มองเกมการเมืองนี้อย่างลึกซึ้งว่า อันที่จริง NPC ได้ส่งสัญญาณล่วงหน้ามาตั้งแต่การประชุมเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ด้วยการไม่ประกาศวางตัวทายาทที่จะมาเป็นผู้นำคนใหม่สืบต่อจากสี จิ้นผิง ที่จะครบวาระการนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดี 2 สมัยในปี 2566 ซึ่งถือเป็นการแหวกธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองของจีน และที่ประชุม NPC ในปีที่แล้วยังได้ประกาศยกย่องสี จิ้นผิง อย่างออกหน้าออกตา แถมบรรจุแนวความคิดทางการเมืองของสี จิ้นผิง เอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นการยกย่องสี จิ้นผิง เทียบเท่ากับประธานเหมา เจ๋อ ตุง ตำนานผู้สร้างชาติของจีนเลยทีเดียว

* เปิดตัวตน "สี จิ้นผิง" จากนักการเมืองท้องถิ่น สู่บัลลังก์ประธานาธิบดีตลอดชีพของจีน

สี จิ้นผิง เป็นชาวฮั่นที่มีพื้นเพมาจากเมืองฟูผิง มณฑลส่านซี จบการศึกษาด้านวิศวกรรมเคมีจาก Tsinghua University มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนในกรุงปักกิ่ง เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ อาทิ เลขาธิการพรรคนครฝูโจว ประธานโรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์นครฝูโจว ผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน เลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจ้อเจียง และมหานครเซี่ยงไฮ้

สี จิ้นผิง เป็นบุตรชายคนเล็กของนายสี จงซุน ผู้ร่วมก่อตั้งกองกำลังปฏิวัติในมณฑลส่านซี และอดีตรองนายกรัฐมนตรีในสมัยเติ้ง เสี่ยวผิง สำหรับชีวิตส่วนตัว สี จิ้นผิงแต่งงานครั้งที่สองกับนักร้องสาวสวยชื่อดังนามเผิง ลี่หยวน ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน การพบกันของสี จิ้นผิง และเผิง ลี่หยวน เกิดขึ้นในปี 2529 เมื่อเพื่อนของทั้งคู่แนะนำให้รู้จักกัน โดยในขณะนั้น สี จิ้นผิง เป็นรองนายกเทศมนตรีเมืองเซียเหมิน มลฑลฟูเจี้ยน และมีอายุมากกว่าเผิง ลี่หยวนประมาณ 9 ปี หลังคบหาดูใจแล้ว ทั้งคู่ได้แต่งงานกันวันที่ 1 กันยายน 2530

หมินซิน เป่ย นักวิเคราะห์จากวิทยาลัยแคลร์มองท์ แมคเคนนา ในแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นสู่อำนาจพร้อมกับความอ่อนน้อมถ่อมตนและสงบนิ่ง น้อยคนนักที่รู้ความคิดของเขา ซึ่งถือเป็นการวางตัวที่ชาญฉลาด

ขณะที่สื่อต่างประเทศ รวมถึงบีบีซี มองว่า สี จิ้นผิง บริหารประเทศในเชิงผ่อนคลายมากกว่าประธานาธิบดีหู จิ่นเทา เสน่ห์ของสี จิ้นผิง คือการมีรอยยิ้มและแม้แต่กล่าวขอโทษที่ทำให้ผู้ฟังต้องรอการกล่าวสุนทรพจน์ของเขา นอกจากนี้ สี จิ้นผิงยังเป็นคนตรงไปตรงมา มีความคิดก้าวหน้าและคำนึงถึงประชาชน โดยสำหรับเขาแล้ว ชาวจีนต้องได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น มีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้ที่น่าพอใจมากขึ้น สวัสดิการสังคมที่ดีขึ้น และหน่วยงานราชการจีนต้องแก้ปัญหาต่างๆด้วยความพยายามสูงสุด

* จับตารัฐบาลจีนชงแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ให้ที่ประชุม NPC พิจารณา

ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ของจีน โดยขณะนี้ที่ประชุม NPC ซึ่งเปิดฉากไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม และจะสิ้นสุดในวันที่ 20 มีนาคมนี้ กำลังพิจารณาร่างกฎหมายด้านการกำกับดูแล และแผนการปรับคณะรัฐมนตรี

สำหรับแผนการต่างๆที่รัฐบาลจีนได้นำเสนอเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาและอนุมัติเป็นลำดับต่อไปนั้น ประกอบไปด้วยการเปิดทางให้ธนาคารกลางจีนออกกฎเกณฑ์ในการดูแลภาคการเงิน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างที่มีเป้าหมายเพื่อปิดช่องโหว่ของการกำกับดูแล ตลอดจนควบคุมความเสี่ยงในภาคธุรกิจธนาคารและประกันที่มีมูลค่าถึง 43 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ รัฐบาลจีนมีแผนจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการธนาคารและประกันขึ้นมาใหม่ จากเดิมที่จีนมีคณะกรรมการ 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการกำกับดูแลภาคธนาคาร และ คณะกรรมการกำกับดูแลด้านการประกัน โดยคณะกรรมการดังกล่าวมีหน้าที่ในการตรวจสอบภาคการธนาคารและการประกัน ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงทางการเงิน รวมไปถึงการปกป้องสิทธิของผู้บริโภค

สำหรับแผนอื่นๆที่รัฐบาลได้นำเสนอต่อที่ประชุมนั้น ยังรวมถึง แผนจัดตั้งคณะกรรมการด้านการกำกับดูแลตลาดของรัฐบาล โดยจะทำหน้าที่บริหารจัดการและการกำกับดูแลตลาดอย่างครอบคลุม รวมทั้งดูแลด้านการจดทะเบียนในตลาด และการดูแลสภาพตลาดให้เป็นไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อย

นอกเหนือจากประเด็นทางเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลจีนยังได้เสนอแผนการปรับคณะรัฐมนตรี และหน่วยงานที่สำคัญต่างๆ โดบหากแผนการดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ก็จะมีการปรับคณะกรรมการและกระทรวงทั้งหมด 26 กระทรวง ซึ่งรวมถึง กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงกลาโหม, คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติ (NDRC), กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ, กระทรวงยุติธรรม, กระทรวงการคลัง, กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ, กระทรวงสิ่งแวดล้อม, ธนาคารกลางจีน, และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ