In Focus"โดนัลด์ ทรัมป์-คิม จอง อึน" เส้นขนานที่กำลังมาบรรจบกัน?

ข่าวต่างประเทศ Wednesday May 30, 2018 11:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

การประชุมสุดยอดระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ กับนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.นี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ได้หรือไม่ ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม แต่ก่อนการประชุมครั้งประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น มาดูกันว่าเกิดเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างท่ามกลางกระแสความผันผวนทางการเมืองระหว่างสหรัฐและเกาหลีเหนือ

ไม้เบื่อไม้เมา

นายโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายคิม จอง อึน เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด เนื่องจากทรัมป์พยายามแทรกแซงสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยอ้างว่าจะทำให้ปลอดอาวุธนิวเคลียร์ ด้วยการใช้วิธีการต่างๆ กดดันให้เกาหลีเหนือยุติโครงการนิวเคลียร์ ตั้งแต่มาตรการคว่ำบาตร ไปจนถึงการข่มขู่ว่าจะโจมตีเกาหลีเหนือ ทว่าโสมแดงยังคงเดินหน้าโครงการนิวเคลียร์ต่อไป ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า นายคิมเคยเห็นหายนะของหลายประเทศที่ถูกสหรัฐเข้าแทรกแซงกิจการภายในมาแล้ว และไม่ต้องการให้เกาหลีเหนือตกอยู่ในสภาพนั้น อาวุธนิวเคลียร์จึงเป็นไม้ตายที่จะทำให้ประเทศรอดพ้นจากการถูกสหรัฐแทรกแซง

ผู้นำทั้งสองประเทศทำสงครามน้ำลายกันอย่างดุเดือด ต่างฝ่ายต่างขู่ว่าจะใช้กำลังโจมตีกันนับครั้งไม่ถ้วน ทรัมป์เคยขู่ว่า จะโจมตีเกาหลีเหนืออย่างเกรี้ยวกราดหากเกาหลีเหนือคุกคามสหรัฐ ขณะที่เกาหลีเหนือเองก็ขู่ว่าจะทำให้สหรัฐกลายเป็นทะเลเพลิง จนพูดได้เต็มปากว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมฟาดฟันกันมาตลอด

ท่าทีที่เปลี่ยนไป

เกาหลีเหนือเคยทดสอบขีปนาวุธมาแล้วหลายครั้ง โดยการทดสอบดังกล่าวมักจะตรงกับโอกาสสำคัญๆภายในประเทศหรือช่วงที่เกิดความตึงเครียดในภูมิภาค แต่ในช่วงปี 2560 มีการทดสอบบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเกาหลีเหนือน่าจะมีความก้าวหน้าที่สำคัญอันจะนำไปสู่การผลิตขีปนาวุธพิสัยไกลที่ติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้

เกาหลีเหนือแสดงแสนยานุภาพให้ทั่วโลกประจักษ์ด้วยการยิงขีปนาวุธข้ามประเทศญี่ปุ่นถึงสองครั้ง ครั้งแรกในเดือนส.ค. 2560 ซึ่งเป็นช่วงที่กองทัพสหรัฐกำลังซ้อมรบร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ส่วนครั้งที่สองเกิดขึ้นในเดือนก.ย. โดยขีปนาวุธลูกนี้มีพิสัยไกลพอที่จะยิงไปถึงเกาะกวมอันเป็นดินแดนของสหรัฐในมหาสมุทรแปซิฟิก ด้วยเหตุนี้ สหรัฐจึงมองว่าเกาหลีเหนือเริ่มเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของสหรัฐ ไม่ใช่แค่ในคาบสมุทรเกาหลีอีกต่อไป

ท่าทีที่ทรัมป์มีต่อเกาหลีเหนือเริ่มเปลี่ยนไป โดยเริ่มมีการพูดถึงความเป็นไปได้ในการพบกับผู้นำเกาหลีเหนือ ขณะที่เกาหลีเหนือก็แสดงความพร้อมสำหรับการเจรจาและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับสหรัฐ และหลังจากที่มีการประสานงานกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ในช่วงต้นเดือนมี.ค. 2561 ทำเนียบขาวสหรัฐก็ได้ออกแถลงการณ์ว่า ผู้นำสหรัฐตกลงที่จะพบกับผู้นำเกาหลีเหนือ และหลังจากนั้นได้มีการกำหนดวันที่จะจัดการประชุมครั้งประวัติศาสตร์เป็นวันที่ 12 มิ.ย. ที่ประเทศสิงคโปร์

พลิกไปพลิกมา

ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้สวย จนกระทั่งนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ได้กล่าวว่า เกาหลีเหนือจะพบกับจุดจบเหมือนกับลิเบีย หากไม่ยอมทำข้อตกลงนิวเคลียร์กับสหรัฐ ซึ่งทางโสมแดงก็ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือด โดยนางโช ซอน ฮุย รมช.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ ได้กล่าวว่า คำพูดดังกล่าวโฉดเขลาและโง่เง่า ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับสหรัฐอย่างมาก จนทรัมป์ประกาศยกเลิกการประชุมสุดยอดกับผู้นำเกาหลีเหนือเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว โดยอ้างถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์จากเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นเพียงวันเดียว นายทรัมป์ก็พลิกลิ้นโดยกล่าวว่ามีความเป็นไปได้ที่การประชุมสุดยอดจะเกิดขึ้นตามกำหนดเดิม

สถานการณ์ตึงเครียดเริ่มคลี่คลายหลังจากที่นายคิม คเย กวาน รมช.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือที่ทำหน้าที่เจรจากับสหรัฐ ออกมากล่าวว่า "เราได้เล็งเห็นถึงความพยายามของประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างที่ไม่เคยมีประธานาธิบดีคนใดเคยทำมาก่อน ในความตั้งใจที่จะจัดการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ และเราอยากบอกกับสหรัฐอีกครั้งว่า เราเปิดกว้างสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเมื่อใด หรือด้วยวิธีการใดก็ตาม"

ขณะเดียวกัน เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และนายมุน แจ อิน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ได้ประชุมร่วมกันที่หมู่บ้านปันมุนจอม ซึ่งผู้นำเกาหลีเหนือได้แสดงความประสงค์ที่จะพบกับผู้นำสหรัฐ และแสดงความพร้อมที่จะร่วมมือกับนายมุนเพื่อยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับสหรัฐ

เตรียมพร้อม

หลังจากที่สถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็กลับมาเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐกับเกาหลีเหนือ โดยนายคิม ยอง ชอล รองประธานคณะกรรมาธิการพรรคแรงงานเกาหลีเหนือ กำลังเดินทางไปยังสหรัฐ เพื่อหารือกับนายไมค์ ปอมเปโอ รมว.ต่างประเทศสหรัฐ เกี่ยวกับการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ โดยจะเข้าพบหารือกับนายปอมเปโอภายในช่วงปลายสัปดาห์นี้

ด้านนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ตกลงที่จะพบกับปธน.ทรัมป์ ในวันที่ 7 มิ.ย. ที่ทำเนียบขาว ก่อนที่การประชุมสุดยอดจะมีขึ้น โดยผู้นำญี่ปุ่นและสหรัฐเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันเพื่อให้การประชุมสุดยอดดังกล่าวประสบผลสำเร็จ

ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ประธานาธิบดีมุน แจ อิน ของเกาหลีใต้ อาจจะเดินทางไปยังสิงคโปร์ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายกับปธน.ทรัมป์และนายคิม ในวันที่ 12 มิ.ย. โดยการประชุมสุดยอด 3 ฝ่ายนี้ ถูกเสนอโดยประธานาธิบดีเกาหลีใต้และผู้นำเกาหลีเหนือในระหว่างที่ผู้นำทั้งสองได้ประชุมร่วมกันที่หมู่บ้านปันมุนจอมเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 สัปดาห์ก่อนที่ผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือจะได้พบกันเป็นครั้งแรก ซึ่งในระหว่างนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ คงต้องลุ้นกันแบบวันต่อวันว่า การพบกันครั้งประวัติศาสตร์ของผู้นำสองชาติที่เดินบนเส้นขนานจะล่มหรือจะเกิดขึ้นจริงๆ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ