In Focusจับตาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ปะทุอีกระลอก หลัง "ทรัมป์" ขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน

ข่าวต่างประเทศ Wednesday May 8, 2019 13:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทั่วโลกต่างคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน หลังจากที่นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้เดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อเจรจาการค้ากับนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน โดยรมว.คลังสหรัฐระบุว่า การเจรจาดังกล่าวเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ทั่วโลกจึงตั้งความหวังกับการเจรจารอบต่อไปที่กรุงวอชิงตันในวันศุกร์ที่จะถึงนี้ โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าในการเจรจารอบล่าสุดนี้ แต่แล้วประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ทำลายความหวังของทั้งโลกด้วยการประกาศว่า จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในวันศุกร์นี้

ทำไมต้องขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ ทวีตว่า ในวันศุกร์นี้สหรัฐจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 25% จากเดิมที่ระดับ 10% และจะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนวงเงิน 3.25 แสนล้านดอลลาร์ในอัตรา 25% ในเร็วๆนี้ โดยผู้นำสหรัฐให้เหตุผลว่า การเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศคืบหน้า "ช้าเกินไป"

ด้านนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ เปิดเผยว่า ชนวนเหตุที่ทำให้ปธน.ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีน เป็นเพราะจีนได้กลับคำสัญญาที่ให้ไว้ในการเจรจาก่อนหน้านี้ ซึ่งจะทำให้ข้อตกลงเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จีนได้ลดการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญา ซึ่งในมุมมองของสหรัฐแล้ว ถือเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้

รายงานระบุว่า ในระหว่างการเจรจาที่กรุงปักกิ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีนพยายามหยิบยกประเด็นสำคัญบางประเด็นขึ้นมาเจรจาอีกครั้ง ทั้งที่สหรัฐเชื่อว่าประเด็นเหล่านั้นตกลงกันได้แล้วตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อนหน้า และในส่วนของการให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงกฎหมายบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับแนวทางปฏิบัติทางเศรษฐกิจนั้น จีนยังเปลี่ยนใจไม่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรอีกด้วย

ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดทีมงานของปธน.ทรัมป์ เปิดเผยว่า ผู้นำสหรัฐเดินเกมเช่นนี้เพราะต้องการเพิ่มแรงกดดันให้จีนยอมทำตามที่สหรัฐต้องการ

ท่าทีของจีน

แม้ว่าผู้นำสหรัฐจะประกาศมาตรการที่เหมือนหักหน้าทางฝั่งจีน แต่กระทรวงพาณิชย์จีนก็ได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า นายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน จะเดินทางไปยังสหรัฐเพื่อเจรจาการค้าตามกำหนดเดิมคือในวันที่ 9-10 พ.ค.นี้ ขณะเดียวกัน นายเกิง ชวง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ระบุว่า การเจรจาคือขั้นตอนหนึ่งของการหารือกัน และเป็นเรื่องธรรมดาที่สองฝ่ายจะมีความเห็นแตกต่างกัน จีนจะไม่หนีปัญหา และพร้อมเดินหน้าเจรจาด้วยความจริงใจ

นายฉัว ฮัก บิน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากบริษัท เมย์แบงก์ กิมเอ็ง รีเสิร์ช ในสิงคโปร์ แสดงทรรศนะว่า หากปธน.ทรัมป์ ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนตามที่ขู่จริงๆ ผลอาจไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะจีนจะไม่ยอมเจรจาโดยที่มีปืนจ่อหัวอยู่อย่างแน่นอน และจะตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ขณะเดียวกัน นายโจว เสี่ยวหมิง อดีตเจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์จีน ได้ให้สัมภาษณ์กับบลูมเบิร์กในทำนองเดียวกันว่า จีนจะไม่ยอมจำนนต่อการข่มขู่ของสหรัฐ และหากสหรัฐขึ้นภาษีจริงๆในวันศุกร์นี้ จีนจะต้องตอบโต้อย่างแน่นอน

นายวิกเตอร์ เกา จากศูนย์เพื่อประเทศจีนและโลกาภิวัตน์ ให้สัมภาษณ์กับซีเอ็นบีซีว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามการค้ามีผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีน แต่ความรุนแรงของผลกระทบและการก้าวข้ามผลกระทบดังกล่าวถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เศรษฐกิจจีนยังคงแข็งแกร่งด้วย GDP ที่ขยายตัว 6%-6.5% ซึ่งสูงกว่า GDP สหรัฐมากกว่าสองเท่า อย่างไรก็ดี การบรรลุข้อตกลงทางการค้าโดยเร็วก็เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย

ผลพวงทางเศรษฐกิจ

นักวิเคราะห์เชื่อว่า หากปธน.ทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนจริงๆ ผู้ค้าปลีกในสหรัฐที่นำเข้าสินค้าจากจีนจะได้รับผลกระทบอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ขณะที่บริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐที่ส่งออกสินค้าไปขายในจีน โดยเฉพาะผู้ผลิตและจำหน่ายเซมิคอนดักเตอร์ ก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมจะยังรอดแม้เกิดสงครามการค้าเต็มรูปแบบ เพราะมูลค่าการส่งออกจากสหรัฐไปยังจีนคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 1% ของ GDP สหรัฐ แต่ที่จะได้รับผลกระทบมากกว่าคือเศรษฐกิจโลก โดยผลกระทบทางอ้อมจากสงครามการค้าจะฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้ว

นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งโลก โดยเขากล่าวว่า "ถ้าเกิดสงครามการค้าขึ้นมาจริงๆ ก็จะเป็นเรื่องที่แย่สำหรับทั้งโลก และอาจจะแย่มาก โดยขึ้นอยู่กับขอบเขตการทำสงคราม"

ขณะเดียวกัน นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในการประชุมด้านการเงินที่กรุงปารีสว่า IMF ต้องการให้ความตึงเครียดทางการค้าคลี่คลายในแบบที่ทุกฝ่ายพึงพอใจ เพราะเห็นได้ชัดว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอาจส่งผลไปถึงการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยก่อนหน้านี้ ปธน.ทรัมป์ ได้ออกมาเรียกร้องอยู่บ่อยครั้งให้เฟดลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้น และการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอาจทำให้ผู้นำสหรัฐสมหวัง เพราะบริษัทสหรัฐที่ได้รับผลกระทบจำเป็นต้องมีการลดต้นทุน และนั่นหมายถึงการลดจำนวนพนักงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เฟดเริ่มเล็งเห็นถึงความจำเป็นของการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นตลาดแรงงาน

สหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงการค้าหรือจะทำให้สงครามการค้ายืดเยื้อออกไปอีก ทั่วโลกจะได้รู้กันในวันศุกร์นี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ