
ในยุคที่ภูมิทัศน์สื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่ผู้ผลิตคอนเทนต์โดยเฉพาะคอนเทนต์บันเทิงต้องเผชิญคือ "อนาคตของคอนเทนต์บันเทิงจะอยู่ที่ใด" คุณบอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มของบริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจในงานเสวนา Unlock 60: Keys to the Betterverse of Communication หัวข้อ "Beyond the Screen: The Future of Entertainment Content" ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณบอยชี้ให้เห็นว่า การมองว่าทีวีเป็นสื่อที่กำลังจะตาย หรือสตรีมมิ่งคือผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว เป็นการมองปัญหาที่ผิวเผินเกินไป คำตอบจึงอยู่ที่การสร้างอีโคซิสเต็มของคอนเทนต์ที่เข้าใจพฤติกรรมผู้ชมซึ่งแตกกระจายไปตามแพลตฟอร์มต่าง ๆ และมองหาโมเดลธุรกิจที่ไปไกลกว่าแค่หน้าจอ
ท่ามกลางกระแสที่ว่าคนดูทีวีน้อยลง คุณบอยกลับมองว่า ทีวียังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ "โชว์รูม" ที่ช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้างและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคอนเทนต์ หลักฐานที่ชัดเจนคือซีรีส์จากแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งหลายเรื่องยังต้องมาซื้อเวลาออกอากาศทางทีวีเพื่อเข้าถึงผู้ชมกลุ่มใหญ่ ซึ่งสะท้อนว่าทีวียังมีอิทธิพลที่แพลตฟอร์มอื่นทดแทนไม่ได้
คุณบอยเปรียบเทียบคอนเทนต์บนทีวีกับร้านค้าแบรนด์เนมระดับโลกบน Fifth Avenue ที่อาจไม่ทำกำไร แต่จำเป็นต้องมีเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์
"แทบจะทุกร้านบน Fifth Avenue New York ครับ ขาดทุนครับ แต่ทำไมเขายังต้องอยู่ที่นั่น มันเป็นสเตตัสอะไรบางอย่างที่เขาต้องมี"ทีวีก็ทำหน้าที่คล้ายกันในการเป็นพื้นที่สร้างกระแสให้คอนเทนต์เป็นที่รู้จัก ก่อนที่ผู้ชมจะเลือกไปเสพต่อในแพลตฟอร์มที่ตนเองสะดวก ไม่ว่าจะเป็นการดูย้อนหลังหรือดูผ่านแอปพลิเคชัน
โมเดลธุรกิจคอนเทนต์ยุคใหม่ต้องมองไปให้ไกลกว่ารายได้จากตัวคอนเทนต์โดยตรง คุณบอยยกกรณีศึกษาจากความสำเร็จของซีรีส์วาย (BL Series) ที่ GMMTV เป็นผู้บุกเบิก ซึ่งเผยให้เห็นภาพที่ชัดเจน
"หลาย ๆ ซีรีส์ที่โด่งดังมาก ๆ ขาดทุนครับ แต่ GMMTV ได้รายได้มาจากไหน ได้กำไรมาจากไหน จากการทำ Artist Management"นี่คือภาพสะท้อนของคำว่า "Beyond the Screen" ที่ชัดเจนที่สุด ตัวซีรีส์อาจเป็นเพียงการลงทุนเพื่อให้ "ขาดทุน" แต่กลับเป็นกลไกสำคัญในการสร้างศิลปินให้โด่งดังระดับโลก ก่อนจะเก็บเกี่ยวผลกำไรจากธุรกิจบริหารจัดการศิลปิน ทั้งงานอีเวนต์ พรีเซนเตอร์ หรือแฟนมีตติ้ง ซึ่งเป็นรายได้ที่เกิดขึ้นนอกจอ
การทำคอนเทนต์ในยุคนี้ต้องยอมรับว่าไม่มีกลยุทธ์ใดที่ใช้ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมาย คุณบอยเปรียบเทียบว่า แม้จะมี "Hardware" (อุปกรณ์/แพลตฟอร์ม) ให้เลือกเสพสื่อมากมาย แต่หัวใจสำคัญคือ "Software" (ตัวคอนเทนต์) ซึ่งต้องปรับให้เข้ากับพฤติกรรมของคนบน Hardware นั้น ๆ พฤติกรรมผู้ชมเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาและอุปกรณ์ที่ใช้เสพสื่อ คุณบอยได้ฉายภาพความแตกต่างระหว่างผู้ชมละครของช่องวัน 31 ในช่วงไพรม์ไทม์ที่ต่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมง
ละคร 19:00 น. คือการดูแบบครอบครัว: เป็นช่วงเวลาที่คนในบ้าน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จะนั่งดูทีวีพร้อมหน้ากันระหว่างทานอาหารเย็น คอนเทนต์จึงต้องเข้าถึงง่าย ดูได้ทุกเพศทุกวัย และสร้างเรตติ้งในระดับ Mass Nationwide
ละคร 20:00 น. คือการดูแบบตั้งใจและเป็นส่วนตัว: คุณบอยเผยผลวิจัยที่น่าสนใจว่าผู้ชมกลุ่มนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงในเมือง จะจัดการภารกิจทุกอย่างให้เสร็จสิ้น เพื่อที่จะได้มีสมาธิกับการดูละครอย่างเต็มที่ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
"ใครอย่ามายุ่งกับฉันนะ เพราะฉันจะดูแบบ concentrate เอาลูกนอนแล้ว เพราะไม่อยากให้ลูกมากวน ในขณะเดียวกัน ผัวอย่ามายุ่ง เพราะผัวดูบ้างไม่ดูบ้างแล้วชอบถาม บอกเงียบ ฉันจะดู"ในวันที่คอนเทนต์ไทยต้องออกไปแข่งขันในเวทีโลก แทนที่จะพยายามสร้างสิ่งที่เลียนแบบตะวันตก เช่น สร้างหนังแบบ Star Wars ซึ่งเป็นเรื่องยากและใช้ทุนสูง คุณบอยย้ำว่าจุดแข็งที่แท้จริงคือการดึง "ความเป็นไทย" ออกมานำเสนอ
"เขาชอบคนไทย เขาชอบความเป็นไทย นี่คือสิ่งที่ประเทศอื่นไม่มี นี่คือ uniqueness นี่คือ selling point ของประเทศไทย"ความท้าทายจึงอยู่ที่การผสมผสานวิธีการนำเสนอที่เป็นสากล (Global Presentation) เข้ากับแก่นเรื่อง ตัวละคร และเสน่ห์ของ "ความเป็นไทย" เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่ขายได้ในตลาดโลกโดยยังเอกลักษณ์ความโดดเด่นเอาไว้
มุมมองของคุณบอยสะท้อนให้เห็นว่า เกมการแข่งขันในอุตสาหกรรมบันเทิงได้เปลี่ยนไปแล้ว ความสำเร็จจึงวัดกันที่ความสามารถในการสร้างอีโคซิสเต็มที่ครบวงจร ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ผ่านสื่อดั้งเดิม การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มบนแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ไปจนถึงการต่อยอดธุรกิจนอกจอ ในยุคนี้ "หน้าจอ" อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเท่านั้น