Media Talk: สำรวจเทรนด์การตลาดดิจิทัลผ่านผู้บริหารแพลตฟอร์ม ชู AI, Creator และ Data นำธุรกิจสู่ยุคใหม่

ข่าวต่างประเทศ Tuesday September 23, 2025 14:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

Media Talk: สำรวจเทรนด์การตลาดดิจิทัลผ่านผู้บริหารแพลตฟอร์ม ชู AI, Creator และ Data นำธุรกิจสู่ยุคใหม่

ภูมิทัศน์การตลาดในปี 2568 ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มดิจิทัลหลัก ๆ ต่างออกฟีเจอร์และกลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคได้ดีขึ้น โดยตัวแทนจาก LINE, YouTube, Meta และ TikTok ได้มาร่วมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแพลตฟอร์มเหล่านี้ รวมถึงทิศทางในอนาคตของการตลาดดิจิทัล ในงาน MKTCON2025 ณ ไบเทคบางนา เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา

*เปิดกลยุทธ์ LINE ยิ่งส่งน้อย ยิ่งได้มาก เมื่อใช้ Data เจาะกลุ่มเป้าหมาย

คุณรัฐธีร์ ฉัตรดำรงค์ศักดิ์ Chief Commercial Officer, LINE ประเทศไทย ได้แชร์สถิติที่น่าสนใจเกี่ยวกับ LINE ด้วยจำนวนผู้ใช้งานถึง 56 ล้านคนในไทย ทำให้ LINE ยังคงเป็นแพลตฟอร์มที่เข้าถึงคนได้มาก ส่วน LINE TODAY ก็มีผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน (MAU) ถึง 40 ล้านคน และที่น่าสนใจคือ LINE OPENCHAT โตเร็วมากจนมี MAU ถึง 20 ล้านคนแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า LINE สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ และดึงดูดให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมในบริการต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี

Media Talk: สำรวจเทรนด์การตลาดดิจิทัลผ่านผู้บริหารแพลตฟอร์ม ชู AI, Creator และ Data นำธุรกิจสู่ยุคใหม่

ข้อมูลจากคุณรัฐธีร์แสดงว่า จำนวนแบรนด์ที่ใช้ LINE ยังคงเติบโตต่อเนื่อง เห็นได้จากบัญชี OA (Official Account) และยอดบรอดแคสต์ (Broadcast Messages) ที่เพิ่มขึ้น ข้อมูลชี้ว่าบัญชี OA ในปี 2567 โตขึ้น 19% จากปี 2566 และคาดว่าจะโตขึ้น 9% แตะ 9 ล้านบัญชีได้ภายในปี 2568 ส่วนจำนวนข้อความบรอดแคสต์เติบโตขึ้น 8% ในช่วงเดียวกัน และคาดว่าจะโตขึ้น 3% แตะ 210 ล้านข้อความในปี 2568 ซึ่งเป็นการยืนยันว่าแพลตฟอร์มนี้ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี จำนวนข้อความบรอดแคสต์ต่อแบรนด์ (Broadcast Messages per Brand) ในปี 2568 กลับลดลงถึง 25% แต่ก็ถือเป็นความตั้งใจของ LINE ที่อยากให้แบรนด์สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าการส่งข้อความบ่อย ๆ โดยเน้นที่คุณภาพและความแม่นยำของข้อความ และมี Data ช่วยสนับสนุน เพราะประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การทำมากขึ้นด้วยทรัพยากรที่น้อยลง แต่คือการทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแม่นยำด้วย

Media Talk: สำรวจเทรนด์การตลาดดิจิทัลผ่านผู้บริหารแพลตฟอร์ม ชู AI, Creator และ Data นำธุรกิจสู่ยุคใหม่

LINE โชว์ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นเมื่อใช้ข้อมูลเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ โดยเปรียบเทียบการส่งข้อความแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายกับแบบบรอดแคสต์ทั่วไปผ่าน OA Plus ในปี 2568 พบว่าข้อความที่ส่งแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ผลลัพธ์ดีกว่าอย่างมาก ทั้งอัตราการเปิดอ่าน (Open Rate) ที่สูงกว่าถึง 3.1 เท่า และอัตราการคลิกผ่าน (CTR) ที่สูงกว่า 1.6 เท่า ข้อมูลนี้ตอกย้ำว่ากลยุทธ์ของ LINE ที่เน้นความแม่นยำเหนือปริมาณนั้นได้ผลจริง เพราะการส่งข้อความแบบเจาะกลุ่มเป้าหมายคุณภาพดีกว่าการบรอดแคสต์แบบเหวี่ยงแหอย่างเห็นได้ชัด

Media Talk: สำรวจเทรนด์การตลาดดิจิทัลผ่านผู้บริหารแพลตฟอร์ม ชู AI, Creator และ Data นำธุรกิจสู่ยุคใหม่

*ส่อง 3 เทรนด์ใหม่บน YouTube: ผสมผสานคอนเทนต์หลายฟอร์แมต, "Fandom" คือแหล่งเงิน และ "Shop" ได้จากหน้าจอ

คุณวรรท วรรธนะสิทธา Creative & Video Lead, Google Southeast Asia ให้ข้อมูลที่น่าสนใจในงานเดียวกันนี้ว่า ปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้วที่ YouTube เปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และคนไทยยังอยู่กับ YouTube อย่างเหนียวแน่น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คนไทยชม YouTube ติดกลุ่ม Top 10 ของโลกอยู่บ่อยครั้ง และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้นกว่าเดิมในปีนี้ นอกจากนี้ 89% ของคนไทยยกให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มวิดีโอที่ตนชอบมากที่สุด ซึ่งข้อมูลนี้มาจากผลสำรวจของ Kantar เมื่อเดือนเมษายน 2567

YouTube หวังที่จะพัฒนาคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์การรับชมที่เปลี่ยนไป เพราะไม่มีใครที่ดูคอนเทนต์อยู่แพลตฟอร์มเดียว ไม่มีใครดูคอนเทนต์อยู่ประเภทเดียว YouTube จึงปรับตัวจากแพลตฟอร์มที่เน้นวิดีโอยาว ๆ เป็นหลัก มาสู่การรองรับเนื้อหาหลากหลายรูปแบบ ทั้ง Shorts (วิดีโอแนวตั้งสั้น ๆ ไม่เกิน 1 นาที), Live Streaming และ Podcast ซึ่งคุณวรรทกล่าวว่า "เป็นฟอร์แมตที่โตขึ้น 50%" โดยวิดีโอใน YouTube นั้นสั้นลงและยาวขึ้นพร้อม ๆ กัน กล่าวคือในขณะที่วิดีโอสั้นไม่เกิน 1 นาทีเติบโตอย่างก้าวกระโดดมาตั้งแต่ปี 2555 จนถึง 2568 แต่วิดีโอที่ยาวเกิน 60 นาทีก็ยังคงเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าวิดีโอแต่ละรูปแบบตอบโจทย์การรับชมตามเจตนาและช่วงเวลาที่แตกต่างกันไปในแต่ละวันของผู้ใช้งาน

ขณะเดียวกัน ยอดการดู YouTube ผ่าน Connected TV ในไทย เติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งข้อมูลในงานโชว์ให้เห็นว่า เวลาการรับชม YouTube บน Connected TV ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในไทย ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะปัจจุบันคนในบ้านหันมาดู YouTube ด้วยกันบนจอใหญ่มากขึ้น ทำให้แพลตฟอร์มขยายฐานผู้ชมจากแค่การดูคนเดียวบนมือถือไปสู่การดูพร้อมกันทั้งครอบครัว

"ชุมชนคือสกุลเงิน" ดันรายได้ให้ครีเอเตอร์ เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แบรนด์

ข้อมูลเผยให้เห็นว่าวงการครีเอเตอร์ในไทยโตขึ้นอย่างมาก โดยช่อง YouTube ในไทยมีการอัปโหลดคอนเทนต์เพิ่มขึ้นกว่า 25% ในปีที่ผ่านมา (พฤษภาคม 2568 เทียบกับพฤษภาคม 2567) นอกจากนี้ คุณวรรทยังชี้ให้เห็นว่า "ชุมชนคือสกุลเงินใหม่" (Community is the New Currency) พร้อมยกสถิติการมีส่วนร่วมของแฟน ๆ ที่น่าประทับใจ โดยในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา 47% ของคน Gen Z เคยดูวิดีโอ Fan-Made เกี่ยวกับคอนเทนต์ ศิลปิน และบุคคลที่ชื่นชอบ และที่น่าสนใจคือ 35% ของช่อง YouTube ในไทยมีรายได้หลักจากการสนับสนุนของแฟน ๆ ผ่านฟีเจอร์อย่าง Super Thanks และ Super Chat ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าชุมชนแฟนคลับในไทยเหนียวแน่นมากจริง ๆ

คุณวรรทยังเผยสถิติเกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างแบรนด์กับครีเอเตอร์ว่า 39% ของผู้ใช้งานดูคอนเทนต์ที่ครีเอเตอร์ทำมากขึ้นกว่าเมื่อปีที่แล้ว และที่น่าทึ่งคือ 98% มีแนวโน้มที่จะเชื่อคำแนะนำของครีเอเตอร์บน YouTube มากกว่าแพลตฟอร์มโซเชียลอื่น ๆ ความน่าเชื่อถือนี้ส่งผลต่อธุรกิจโดยตรงผ่าน Partnership Ads ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้แบรนด์โปรโมตวิดีโอจากช่องของครีเอเตอร์ได้ทันที ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับโฆษณาที่ใช้แบรนด์ของลูกค้าเพียงอย่างเดียว

เปลี่ยนการชมเป็นการ Shop

คุณวรรทเปิดเผยในงานนี้ว่า ยอด Video Commerce ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โตขึ้นถึง 4 เท่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยอดเวลาการรับชมเนื้อหาเกี่ยวกับการชอปปิงในไทยเติบโตขึ้นถึง 400% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีความสนใจคอนเทนต์ประเภทนี้อย่างมหาศาล

ปัจจุบัน YouTube Shopping เปิดโอกาสให้ครีเอเตอร์สามารถแท็กสินค้าในวิดีโอได้เลย ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ชมซื้อสินค้าได้โดยตรง นอกจากนี้ YouTube ยังช่วยเพิ่มยอดขายออฟไลน์อีกด้วย ซึ่งข้อมูลจาก Nielsen ระบุว่า 84% ของแคมเปญโฆษณาแบรนด์บน YouTube ช่วยกระตุ้นยอดขายออฟไลน์ได้เป็นอย่างดี โดยการเพิ่มขึ้นของค่าการรับรู้ (awareness) และการพิจารณาซื้อสินค้า (consideration) ทุก 1pt จะส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 1%

แนวทางที่ครบวงจรนี้ทำให้ YouTube ไม่ได้เป็นแค่แพลตฟอร์มวิดีโออีกต่อไป แต่เป็นอีโคซิสเต็มสำหรับแบรนด์ในการสร้างการรับรู้ สร้างชุมชน และค้าขาย โดยมีเครื่องมือ AI ที่เข้ามาช่วยยกระดับทุกขั้นตอนของการตลาด ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า

*Meta เผยอนาคตธุรกิจ เมื่อ AI และการตลาดบน Chat ช่วยธุรกิจปิดการขาย

คุณภารดี สินธวณรงค์ Head of Marketing, Thailand & Philippines จาก Meta ชี้ให้เห็นว่า การส่งข้อความหาลูกค้าหรือ Business Messaging จะเข้ามาเปลี่ยนโลกธุรกิจไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมยกสถิติที่แสดงให้เห็นว่า 74% ของคนที่ออนไลน์ต้องการคุยกับธุรกิจหรือร้านค้าผ่านการส่งข้อความในแบบเดียวกับที่คุยกับเพื่อนและครอบครัว ขณะที่ธุรกิจ 95% บอกว่า Business Messaging ช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดีขึ้นได้จริง และธุรกิจที่ใช้ช่องทางนี้เห็นยอดการเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย (Lead) ให้กลายเป็นยอดขาย (Sales) เพิ่มขึ้นถึง 55%

คุณภารดีได้นำเสนอข้อมูลสถิติเฉพาะคนไทยว่า นักชอปช่วงเทศกาลที่ใช้ Business Messaging ในการติดต่อกับร้านค้าต่าง ๆ นั้น อยู่บนแพลตฟอร์มของ Meta ถึง 87% ซึ่งพฤติกรรมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในบ้านเราเท่านั้น แต่ทั่วโลกมีการส่ง Business Messaging กว่า 1 พันล้านข้อความต่อสัปดาห์ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ระดับโลก และยังเป็นโอกาสทองสำหรับธุรกิจไทยที่อยากจะส่งออกสินค้าไปต่างประเทศด้วย โดย Meta มีแพลตฟอร์มที่ใช้ในการส่งข้อความทางธุรกิจอยู่ 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ Messenger, WhatsApp และ Instagram Direct Messenger

คุณภารดีได้ชี้ให้เห็นจุดแข็งของ Meta คือนอกจากมีผู้ใช้งานมากกว่าครึ่งประชากรโลกแล้ว Meta ยังมีกลไก AI ที่ลงทุนพัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว และใช้ AI เพื่อผลักดันให้สินค้าได้เจอกับกลุ่มเป้าหมาย

เพื่อสนับสนุนกลุ่ม SME ให้ทำธุรกิจได้ไม่สะดุด Meta ได้เปิดตัว AI for Business Messaging ซึ่งอยู่ในช่วงทดสอบเบต้า โดย AI ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยประหยัดเวลาและมอบประสบการณ์ลูกค้าที่ดีเยี่ยมได้ตลอดเวลา ทำให้ธุรกิจสามารถตอบลูกค้าได้ทันที ทีมงานไม่ต้องเสียเวลากับงานซ้ำ ๆ และช่วยเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้เป็นยอดขายได้เร็วขึ้น ซึ่ง AI สามารถจัดการคำถามลูกค้าได้ทั้งบน Messenger และ WhatsApp ด้วยความสามารถในการประมวลผลภาษาธรรมชาติ เพื่อแนะนำสินค้าและให้บริการลูกค้าอย่างชาญฉลาด

นอกจากนี้ Meta ยังได้สร้างระบบจ่ายเงินแบบครบวงจร เพื่อเปลี่ยนการคุยแชตให้กลายเป็นการจ่ายเงินได้อย่างราบรื่น เพียงแค่ลูกค้ากดปุ่มในแชต ระบบก็จะพาไปยังแอปธนาคารที่เลือกไว้ เช่น Krungthai NEXT, K PLUS และ SCB พร้อมกับกรอกรายละเอียดการโอนเงินให้เรียบร้อย เมื่อโอนเสร็จ ลูกค้าจะถูกพากลับมาที่ Messenger พร้อมสถานะการจ่ายเงินทันที ซึ่งการที่ลูกค้าสามารถจ่ายเงินจบได้ใน Messenger เลยนั้น ทำให้โอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจกลางคันลดลงมาก ธุรกิจจึงได้ยอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้น

สำหรับนักการตลาดแล้ว นี่คือโอกาสที่สำคัญ เพราะ Meta สามารถเก็บข้อมูลการซื้อขายได้ ทำให้การยิงโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และการทำโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์มีความแม่นยำมากขึ้น ส่งผลให้ระบบทั้งหมดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน

*TikTok แนะแบรนด์ใช้ครีเอเตอร์ ดันธุรกิจให้โตตลอดทุก Funnel การตลาด

คุณชลิตา อยู่วิมลชัย Head of Client Solution จาก TikTok เปิดเผยว่า TikTok พัฒนาจากการเป็นแพลตฟอร์มสร้างกระแสไวรัล สู่การเป็นผู้ขับเคลื่อนทางวัฒนธรรมและแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างครบวงจร โดยปัจจุบัน TikTok มีผู้ใช้งานในไทยมากกว่า 50 ล้านรายแล้ว

จุดแข็งของ TikTok คือการทำให้การชอปปิงเป็นเรื่องง่าย ตั้งแต่การเห็นสินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อและจ่ายเงิน ครบจบแบบไม่ต้องกดออกจากแอปเลย โดย 1 ใน 2 ของผู้ใช้งานค้นพบสินค้าหรือแบรนด์ใหม่ ๆ จากหน้า #ForYou ขณะที่วิดีโอกว่า 23.9 ล้านโพสต์ใช้แฮชแท็ก #TikTokMadeMeBuyIt และอีกกว่า 3.8 ล้านโพสต์ใช้ #TikTokป้ายยา รวมถึง 2.1 ล้านโพสต์ที่ใช้ #ป้ายยาTikTok

นอกจากนี้ อิทธิพลของ TikTok ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อนั้นมีอย่างมหาศาล เพราะผู้ใช้งาน TikTok มีแนวโน้มที่จะเปิดใจลองสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าถึง 1.4 เท่า และมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อจากวิดีโอที่เห็นถึง 1.8 เท่า ที่สำคัญคือพวกเขายังพร้อมที่จะแชร์สิ่งที่ซื้อกับเพื่อน ๆ มากกว่าถึง 2.4 เท่า และมีแนวโน้มที่จะกลับมาซื้อซ้ำกับแบรนด์เดิมอีก 1.2 เท่า

คุณชลิตาเปิดเผยว่า TikTok เป็นคอมมิวนิตีที่โตมาได้เพราะครีเอเตอร์ การที่ครีเอเตอร์แชร์มุมมองในรูปแบบของการเล่าให้ฟัง คล้าย ๆ กับความคิดเห็นที่ไม่มีฟิลเตอร์นั้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น ซึ่งจุดนี้เป็นเสน่ห์ที่ทำให้ชุมชนครีเอเตอร์บน TikTok เติบโตก้าวกระโดด โดย 1 ใน 5 ของผู้ชมใช้ TikTok เพื่อติดตามครีเอเตอร์ที่ตนเองชอบ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างครีเอเตอร์กับผู้ชม ขณะเดียวกัน 55% ของผู้ใช้งานรู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้นผ่านคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ ยิ่งไปกว่านั้น 62% ของผู้ใช้งานอยากลองสินค้าใหม่ ๆ หลังจากดูคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ และ 1 ใน 3 ของผู้ใช้งานถึงกับค้นหาแบรนด์หลังจากดูคอนเทนต์ของครีเอเตอร์ แสดงให้เห็นว่าการร่วมมือกับครีเอเตอร์มีพลังมหาศาลในการช่วยให้คนรู้จักและตัดสินใจซื้อสินค้าได้

ข้อมูลที่เผยแพร่ในงานยืนยันว่า คอนเทนต์ที่มาจากครีเอเตอร์มีประสิทธิภาพเหนือกว่าคอนเทนต์ที่แบรนด์สร้างเองในทุกด้าน โดยเมื่อเทียบกันแล้ว คอนเทนต์จากครีเอเตอร์สามารถสร้างยอดการแสดงผล (Impression) ได้มากกว่าถึง 12 เท่า, ยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้มากกว่า 17 เท่า และมูลค่าสื่อ (Earned Media Value) ก็สูงกว่าถึง 20 เท่า นอกจากนี้ 94% ของแบรนด์ยังเชื่อว่าคอนเทนต์จากครีเอเตอร์สร้าง ROI ได้มากกว่าโฆษณาดิจิทัลแบบเดิมอีกด้วย

โฆษณาที่ใช้ครีเอเตอร์นั้นได้ผลดีตลอดทั้ง Funnel การตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการรับรู้ (Awareness) ที่ช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ถึง 9% ด้านการพิจารณา (Consideration) ที่ช่วยเพิ่มความชื่นชอบในแบรนด์ได้ถึง 24% และการตัดสินใจซื้อ (Conversion) ซึ่ง 64% ของผู้ใช้งานซื้อสินค้าหลังจากดูโฆษณาที่ใช้ครีเอเตอร์ ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่า การร่วมมือกับครีเอเตอร์ส่งผลต่อยอดขายโดยตรง

คุณชลิตาได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า TikTok เริ่มเห็นแบรนด์ลงทุนในการจ้างครีเอเตอร์มากขึ้น ซึ่งถ้าตีเป็นเงินในการที่แบรนด์จ้างครีเอเตอร์มาร์เก็ตติงถือว่ามีมูลค่าที่สูงมาก อย่างไรก็ดี การจ้างแค่ครีเอเตอร์อย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เพราะคนอาจจะรับรู้เพียงระดับ Awareness จึงกลายเป็นคำถามว่า แล้วเราจะพาคนที่สนใจไปต่อในช่วงของ Consideration ได้อย่างไร ซึ่งทาง TikTok มีโซลูชันที่ช่วยแก้ Pain Point ในส่วนนี้

TikTok พูดถึงปัญหาที่นักการตลาดเจอมาตลอดว่า การสร้างกลุ่มลูกค้า Consideration นั้นเป็นเรื่องยาก ทั้งการวัดผล การสร้างฐาน และการติดตามผล อย่างไรก็ตาม TikTok กลับมองว่านี่คือจุดแข็งของแพลตฟอร์มตัวเอง ข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้า Consideration นั้นสำคัญมากต่อความสำเร็จของธุรกิจ เพราะ 46% ของยอดซื้อทั้งหมด และ 69% ของยอดซื้อจากลูกค้าใหม่ มาจากกลุ่มนี้ ทั้งยังมีอัตราการเปลี่ยนเป็นลูกค้าในช่วง 30 วันถัดไปสูงกว่ากลุ่ม Awareness ถึง 14-16 เท่า

ทั้งนี้ TikTok ได้สรุปข้อคิดสำคัญที่นักการตลาดควรรู้ไว้ว่า TikTok เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้แบบ Full-Funnel ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ การพิจารณาซื้อ และการเปลี่ยนเป็นยอดขาย ขณะที่ฝั่งครีเอเตอร์นั้นก็สร้างผลลัพธ์ให้ธุรกิจได้จริง และถ้าอยากชนะตลาด ต้องเน้นที่กลุ่ม Consideration เพราะนี่คือจุดสำคัญของ Funnel การตลาดในมุมมองของ TikTok

จากข้อมูลที่เราได้รับทราบจากผู้บริหารแพลตฟอร์มทั้ง 4 ท่านนี้ น่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกแพลตฟอร์มกำลังมุ่งหน้าสู่เทรนด์เดียวกัน แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวัตถุประสงค์เดิม ๆ อีกต่อไป แต่กำลังพัฒนาไปเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต และสำหรับนักการตลาดแล้ว นี่คือความท้าทายที่ต้องวางกลยุทธ์ให้ซับซ้อนขึ้น เพื่อดึงจุดแข็งของแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด


แท็ก youtube   ข้อมูล   TikTok   ไบเทค   KTC  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ