นายกรัฐมนตรีย้ำไทยพร้อมสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเต็มที่ในด้านการค้าและการลงทุน รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนในช่วงการหารือผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามกับสภาธุรกิจเอเชียตะวันออก
เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมการหารือระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามกับสภาธุรกิจเอเชียตะวันออก (East Asia Business Council - EABC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีนายกรัฐมนตรีเวียดนามเป็นประธานและมีผู้แทนจาก EABC ของประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามเข้าร่วม
นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำความสำคัญของการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจากโควิด-๑๙ รวมถึงการลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและฟื้นฟูความเชื่อมั่นในภูมิภาค นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมผลงานของ EABC ในการจัดทำผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจและยุทธศาสตร์ดิจิทัลสู่ความปกติใหม่ และ e-Book เรื่อง พิธีการศุลกากรของเอเชียตะวันออกและแนวทางการลงทุนในเอเชียตะวันออก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (Micro, Small and Medium Enterprises ? MSMEs)
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าไทยพร้อมที่จะสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนอย่างเต็มที่ในการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมถึงเสริมสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคให้เข้มแข็ง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
ที่ประชุมฯ ได้รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ EABC ในการบรรเทาและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-๑๙ เช่น การลงนามความตกลง RCEP และการขยายความตกลงสำรองข้าวฉุกเฉินของอาเซียนบวกสามให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรอื่น ๆ รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรมและการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียตะวันออก เช่น การพัฒนาความตกลงที่เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์สำหรับธุรกรรมที่ไร้เอกสาร (paper-less transaction) และการจัดการข้อมูล และการพัฒนา MSMEs
การหารือระหว่างผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนบวกสามและผู้แทน EABC เป็นเวทีเพื่อเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเสนอแนะข้อคิดเห็นเชิงนโยบายต่อภาครัฐเกี่ยวกับการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออก
ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ