ไทย-ญี่ปุ่นร่วมจัดการสัมมนาเชิงวิชาการเพื่อกำหนดทิศทางของหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เชิงเศรษฐกิจระหว่างไทย - ญี่ปุ่น ใน “อนาคต” อย่างยั่งยืน

ข่าวต่างประเทศ Friday July 30, 2021 13:43 —กระทรวงการต่างประเทศ

กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดสัมมนาเชิงวิชาการ ภายใต้หัวข้อ ?Envisioning the Future: Thailand-Japan Strategic Economic Partnership? เพื่อรับฟังมุมมองจากฝ่ายบริหารของรัฐบาล และบุคคลในแวดวงเศรษฐกิจของไทยและญี่ปุ่น ทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการและภาคเอกชน เกี่ยวกับแนวทางและข้อเสนอแนะในการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายจากสถานการณ์โควิด-๑๙

เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ กระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดสัมมนาเชิงวิชาการภายใต้หัวข้อ ?Envisioning the Future: Thailand-Japan Strategic Economic Partnership? ผ่านระบบ Zoom Webinar เพื่อรับฟังมุมมองจากฝ่ายบริหารของรัฐบาล และบุคคลในแวดวงเศรษฐกิจของไทยและญี่ปุ่นทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการและภาคเอกชนเกี่ยวกับแนวทางและข้อเสนอแนะในการดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทายในปัจจุบัน เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาค และภูมิภาค โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานทั้งสิ้น ๑,๒๐๓ คน และมีผู้เข้าร่วมรับฟังในวันสัมมนาจำนวน ๙๗๘ คน สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวปาฐกถา (Keynote Speech) ภายใต้หัวข้อ ?Way forward for Thailand-Japan Relations in the post COVID-19 World? โดยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นที่มีความแน่นแฟ้นในทุกมิติมาตลอด ๑๓๔ ปี เป็นมิตรแท้ที่ผ่านความท้าทายและช่วยเหลือเกื้อกูลกันเสมอในทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะวิกฤติการระบาดของโควิด-๑๙ ที่ส่งผลกระทบในวงกว้างต่อเศรษฐกิจ สังคม และวิธีชีวิตของมนุษย์ ทำให้ทั้งสองฝ่ายตระหนักว่าการพัฒนาและสร้างระบบต่าง ๆ หลังจากนี้จะต้องมุ่งไปในทิศทางที่เน้นความยั่งยืนและความครอบคลุม (Sustainable and Inclusive growth) เพื่อสร้างสรรค์สันติภาพ ความเจริญมั่งคั่ง และความสุขที่ยั่นยืนของประชาชนให้กับทุกเขตเศรษฐกิจ ภูมิภาค และโลก

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศได้เสนอแนวทางความร่วมมือกับญี่ปุ่นในการเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจ โดยการสอดประสานนโยบาย BCG Economy Model ซึ่งเป็น new growth paradigm ของไทย กับยุทธศาสตร์ Green Growth ของญี่ปุ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเน้นใน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยให้เป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (ZEV) อย่างสมบูรณ์ โดยอาศัยประสบการณ์ที่ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์สำคัญในตลาดโลกมากกว่า ๓๐ ปี และมีองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดจากญี่ปุ่น (๒) การสร้าง Bio-Cycle ที่ประกอบด้วย Bio-Fuel และ Bio-Mass ในวงจรเศรษฐกิจ เนื่องจากไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตด้านนี้ จึงประสงค์ให้เอกชนญี่ปุ่นมาลงทุนในด้านนี้เพิ่มเติม (๓) อุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารครบวงจรจากความหลากหลายของทรัพยากรทางชีวภาพ โดยเชิญชวนให้เอกชนญี่ปุ่นที่มีความก้าวหน้าในด้านนวัตกรรมที่ทันสมัยมาร่วมมือให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน Global Value Chain และ (๔) การบ่มเพาะผู้ประกอบการและพัฒนาแรงงานทักษะในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ BCG Economy โดยการเร่งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันโคเซ็นในไทย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคธุรกิจกับมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนของเอกชนญี่ปุ่นในไทย โดยเฉพาะสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีและนวัตกรรม

นายนาชิดะ คาซูยะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้บรรยายพิเศษ (Special Lecture) ภายใต้หัวข้อ ?Towards a new stage of Japan-Thailand cooperation? โดยได้ย้ำถึงความสัมพันธ์ฉันมิตรที่ไม่ทอดทิ้งกันในยามยากลำบาก ทั้งในช่วงที่ญี่ปุ่นประสบภัยแผ่นดินไหวและสึนามิ และไทยเผชิญกับอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อ ๑๐ กว่าปีที่แล้ว โดยทั้งสองฝ่ายได้แสดงไมตรีจิตให้ความช่วยเหลือกันและกัน และเมื่อไม่นานนี้ ญี่ปุ่นได้มอบวัคซีน AstraZeneca จำนวน ๑ ล้าน ๕ หมื่นโดสแก่ไทย และได้ให้ความช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาลไทยในการแก้ไขสถานการณ์โควิด-๑๙ นอกจากนี้ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นฯ ยังได้ย้ำความสำคัญของไทยในฐานะการเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของบริษัทญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยหลังจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทยจะมุ่งสู่เวทีความร่วมมือใหม่ ๆ โดยหวังที่จะพัฒนาความร่วมมือใน ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) การเป็นพันธมิตรต่อกันในความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Co-Creation ที่เน้นการร่วมมือและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นผ่านการระดมปัญญา แก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ส่งเสริมในส่วนที่ขาดของกันและกัน แล้วสร้างให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ต่อไป เช่น ปีที่แล้วญี่ปุ่นได้สนับสนุนการจับคู่ธุรกิจบริษัทสตาร์ทอัพญี่ปุ่นด้านเทคโนโลยี ดิจิทัล และระบบ AI/IoT กับผู้ประกอบการไทยหลายโครงการ (๒) การสร้างความแข็งแกร่งและขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน (Sustainability) จัดตั้งกองทุน ๒ ล้านล้านเยน (ประมาณ ๖ แสนล้านบาท) สำหรับผู้ประกอบการเอกชนนำไปวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่นำไปสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ (Carbon Neutral) ให้เกิดขึ้นได้จริงในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ สอดรับกับนโยบาย BCG Model ของไทยที่ถือว่าเป็น Flagship ที่จะช่วยกระตุ้นให้มีการขยายธุรกิจ และการลงทุนใหม่ ๆ จากบริษัทญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น

ในห้วงการเสวนา (Panel Discussion) ภายใต้หัวข้อ ?What now & What next: Thailand-Japan Strategic Economic Partnership in Challenging Time? ซึ่งมีผู้เข้าร่วม ได้แก่ (๑) นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงโตเกียว (๒) นายจิระพันธ์ อุลปาทร ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย - ญี่ปุ่น (TJIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (๓) นายอารีย์ ชวลิตชีวินกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ซิเมนต์ไทยโฮลดิ้ง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCG) (๔) นางสาว YURUGI Yoshiko หัวหน้าผู้แทนประจำสำนักงานผู้แทนประจำภูมิภาคเอเชีย องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น (NEDO) (๕) ศาสตราจารย์ ดร. OIZUMI Keiichiro สถาบันเอเชียศึกษามหาวิทยาลัยเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น (๖) นาย CHOKKI Morikazu ประธานบริษัท Mitsubishi Motors (Thailand) Co., Ltd. และ (๗) นาย MORITA Keisuge ผู้บริหารบริษัท Spiber (Thailand) Ltd. ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างคุณค่าให้กับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในอนาคต โดยการให้ความสำคัญกับการดำเนินความร่วมมือในการสอดประสานโมเดล BCG Economy ของไทยและยุทธศาสตร์ Green Growth Strategy ของญี่ปุ่น โดยการเตรียมความพร้อมเพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด (ZEV) และอุตสาหกรรมชีวภาพ โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และแรงงานฝีมือชั้นสูง และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้อย่างแพร่หลาย โดยการพิจารณาใช้พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นสถานที่รองรับการพัฒนาดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อให้เอกชนญี่ปุ่นซึ่งยังคงเล็งเห็นถึงจุดแข็งของไทยในฐานะฐานการผลิตเพื่อส่งออกที่สำคัญในภูมิภาคที่มีในโครงสร้างพื้นฐานที่เพียบพร้อมและทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ รัฐบาลของทั้งสองฝ่ายควรจัดทำแผนยุทธศาสตร์ในการดำเนินความสัมพันธ์หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างกันระยะ ๕ ปี ในโอกาสการครบรอบ ๑๓๕ ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในปีหน้า และใช้ประโยชน์จากกลุ่มเอกชนญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่ให้มากยิ่งขึ้น

ที่มา: กระทรวงการต่างประเทศ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ