รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ - กุมภาพันธ์ 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Monday March 7, 2011 11:52 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ซึ่งทาให้ทั้งปี 2553 สหรัฐฯ ขยายตัวด้วยอัตรารวมร้อยละ 2.8 ต่อปี ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 4 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้รับปัจจัยทางบวกจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 การส่งออกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.6 การนาเข้าที่ลดลงร้อยละ 12.4 การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • ดัชนีทางการผลิตและการใช้กาลังการผลิตปรับลดลงที่อัตราร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวยังคงอยู่ในระดับทีดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน
  • ยอดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอุปโภคส่วนบุคคล (PCE) และยอดรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (DPI) ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.4 และ 0.1 ตามลาดับ ในขณะที่อัตราการออมปรับลดลงร้อยละ 0.2 โดยได้รับปัจจัยทางบวกสาคัญจากการขยายเวลาของ Bush Tax Cuts
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับการขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี เช่นเดียวกับดัชนีที่ไม่รวมสินค้าอาหารและน้ามัน (Core-CPI) ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.0 ต่อปี
  • อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2554 ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.0 ซึ่งนับเป็นการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน
  • ในปี 2553 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น 122.9 พันล้านเหรียญ สรอ. มาอยู่ที่ระดับ 497.8 พันล้านเหรียญ สรอ. หรือร้อยละ 3.4 ของ GDP
  • ในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 2554 ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโร และเงินปอนด์ ในขณะที่อยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับเงินเยน และเงินหยวน
ภาคการเงินและภาคการคลัง
  • รัฐสภาสหรัฐฯ กาลังอยู่ในระหว่างพิจารณาตัดงบประมาณของปี 2554 บางส่วน เพื่อปรับลดยอดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล ซึ่งอาจส่งผลให้บางโครงการของรัฐบาลและหน่วยงานราชการบางแห่งต้องปิดทาการลง
  • ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยื่นเสนอร่างงบประมาณเบื้องต้นของปี 2555 ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ โดยแผนดังกล่าวยังคงมุ่งเน้นการลงทุนจากภาครัฐ และจะเพิ่มการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล อีกจานวน 1.1 ล้านล้านเหรียญ สรอ.

ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวในอัตราร้อยละ 2.8

มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (GDP) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ขยายตัวที่ ร้อยละ 2.8 เปรียบเทียบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2553 ที่ร้อยละ 2.6 ทั้งนี้ ใน ปี 2553 เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวด้วยอัตรารวมร้อยละ 2.8 ต่อปี เปรียบเทียบกับที่หดตัวลงร้อยละ 2.6 ต่อปี ในปี 2552

ปัจจัยบวกที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ประกอบไปด้วย (1) ปริมาณการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลที่ขยายตัวร้อยละ 4.1 โดยเฉพาะด้านสินค้าคงทนที่ขยายตัวร้อยละ 21.0 (2) ปริมาณการส่งออกที่ขยายตัวร้อยละ 9.6 (3) ปริมาณการนาเข้าที่ชะลอตัวร้อยละ 12.4 (4) ปริมาณการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัยที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 และ (5) ปริมาณการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยที่ขยายตัวร้อยละ 2.8

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 ได้รับปัจจัยทางลบจาก (1) ปริมาณการลงทุนในสินค้าคงคลังของภาคเอกชนและ (2) ปริมาณการใช้จ่ายภาครัฐที่ปรับลดลง

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

ในเดือนมกราคม 2554 อุตสาหกรรมสหรัฐฯ ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ดีกว่าเมื่อช่วงเดียวกันปีก่อน

ในเดือนมกราคม 2554 ดัชนีการผลิตทางอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 0.1 หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 ในเดือนธันวาคม 2553 อย่างไรก็ตาม ค่าดังกล่าวปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมกราคมปีก่อนถึงร้อยละ 5.2 ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการผลิตที่มีการขยายตัวมากที่สุดในช่วงปี 2553 คือ การผลิตวัสดุสานักงาน (เพิ่มขึ้นร้อยละ11.4) และสินค้าวัตถุดิบ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2) ตามลาดับ

อัตราการใช้กาลังการผลิต (Capacity Utilization) ของสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 76.1 ของกาลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งต่ากว่าอัตราเฉลี่ยของการใช้กาลังการผลิตในระหว่างปี 2515-2552 อยู่ร้อยละ 4.4 (ค่าเฉลี่ยของปี 2515-2552 คิดเป็นร้อยละ 80.5)

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

การขยายเวลา Bush Tax Cuts ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปี 2553 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

Office of Economic and Financial Affairs, Washington DC February, 2011 เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศการขยายเวลา Bush Tax Cuts ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงปลายปี 2553 ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Real Disposable Personal Income and Real Consumer Spending ที่มา: สานักวิเคราะห์เศรษฐกิจสหรัฐฯ (www.bea.gov)

ในเดือนธันวาคม 2553 ภาพรวมด้านรายได้และการใช้จ่ายสหรัฐฯ ได้รับปัจจัยทางบวกที่สาคัญจากการผ่านกฎหมาย Bush Tax Cuts ที่ขยายเวลาการลดหย่อนภาษีรายได้ให้กับประชากรสหรัฐฯ ทั้งหมด ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 2553 โดยปริมาณการใช้จ่ายที่ขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดด้วยอัตราที่สูงกว่าการขยายตัวของรายได้ (ยอดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอุปโภคที่แท้จริง (Real-PCE) ปรับเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.4 ในขณะที่รายได้ส่วนบุคคลที่สามารถนาไปใช้ได้จริง (Real-DPI) ขยายตัวร้อยละ 0.1 ประกอบกับอัตราการออมที่ลดลงร้อยละ 0.2 นั้น แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นต่อสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น

ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ในเดือนมกราคม 2554 มาอยู่ที่ระดับการขยายตัวร้อยละ 1.6 ต่อปี ในขณะที่ดัชนีราคาที่ไม่รวมสินค้าอาหารและน้ามัน (Core-CPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับการขยายตัวร้อยละ 1.0 ต่อปี

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

อัตราการว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.0 ในเดือนมกราคม 2554

อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2554 ปรับลดลงร้อยละ 0.4 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 9.0 โดยสหรัฐฯ มีประชากรที่อยู่ในวัยทางาน (Labor force) ทั้งหมด 153.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 64.2 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งลดลงกว่า 500,000 คนจากเดือนก่อน ในขณะที่มีประชากรได้รับจ้างงานจานวนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 58.3 ของประชากรในวัยทางานในเดือนธันวาคม 2553 มาอยู่ที่ร้อยละ 58.4 และมีประชากรที่ว่างงานทั้งหมด 13.9 ล้านคน

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา การจ้างงานที่ไม่ใช่เกษตรกรรม (Nonfarm payroll) ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 36,000 งาน โดยมาจากการขยายตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตและธุรกิจค้าปลีก ในขณะที่การจ้างงานด้านการก่อสร้าง การขนส่ง และงานที่เกี่ยวกับโกดังสินค้าปรับลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน

แม้ว่าอัตราการว่างงานของประชากรสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2553 ถึงเดือนมกราคม 2554 แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการปรับลดลงของอัตราการว่างงานดังกล่าวจะมาจากปริมาณการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว บางส่วนยังมาจากจานวนประชากรที่อยู่ในวัยทางาน (Labor force) ที่ปรับลดลง ซึ่งเกิดจากกลุ่มประชากรส่วนหนึ่งที่ว่างงานแต่ยกเลิกมองหางาน โดยในช่วง 3 เดือนดังกล่าว ประชากรในวัยทางานของสหรัฐฯ มีจานวนลดลงกว่า 7 แสนคน ในขณะที่มีประชากรที่ได้รับการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 4 แสนคน

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศ

ในปี 2553 สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นรวม 497.8 พันล้านเหรียญ สรอ. หรือร้อยละ 3.4 ของ GDP

มูลค่าการขาดดุลการค้าระหว่างประเทศโดยรวมในปี 2553 ปรับเพิ่มขึ้น 122.9 พันล้านเหรียญ สรอ. หรือร้อยละ 32.8 จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 497.8 พันล้านเหรียญ สรอ. โดยคิดเป็นร้อยละ 3.4 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในสหรัฐฯ เปรียบเทียบกับมูลค่าการขาดดุลในปี 2552 ที่ระดับ 374.9 พันล้านเหรียญ สรอ. หรือร้อยละ 2.7 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ในส่วนของภาพรวมการส่งออกและนาเข้าสินค้าของสหรัฐฯ ในปี 2553 นั้น มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวจากปีก่อนหน้า 261.0 พันล้านเหรียญ สรอ. มาอยู่ที่ระดับ 1,831.8 พันล้านเหรียญสรอ. โดยมีปริมาณการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้น 220.6 พันล้านเหรียญ สรอ. และการส่งออกบริการเพิ่มขึ้น 40.5 พันล้านเหรียญ สรอ. ทั้งนี้ สินค้าที่สหรัฐฯ ส่งออกเพิ่มขึ้น 3 อันดับแรกในปี 2553 ได้แก่ วัสดุเครื่องมืออุปกรณ์โรงงานและวัตถุดิบ (94.0 พันล้านเหรียญ สรอ.) สินค้าทุน (55.5 พันล้านเหรียญ สรอ.) และ ยานพาหนะ ชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องจักร (30.1 พันล้านเหรียญ สรอ.) ตามลาดับ ส่วนมูลค่าการนาเข้าสินค้าและบริการในปี 2553 ขยายตัว 384.0 พันล้านเหรียญ สรอ. จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 2,329.7 พันล้านเหรียญ สรอ. โดยมีปริมาณการนาเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น 360.2 พันล้านเหรียญ สรอ. และการนาเข้าบริการเพิ่มขึ้น 23.8 พันล้านเหรียญ สรอ. ทั้งนี้ สินค้าที่สหรัฐฯ นาเข้าเพิ่มขึ้น 3 อันดับแรก ได้แก่ วัสดุเครื่องมืออุปกรณ์โรงงานและวัตถุดิบ (138.8 พันล้านเหรียญ สรอ.) สินค้าทุน (80.0 พันล้านเหรียญ สรอ.) และ ยานพาหนะ ชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องจักร (67.6 พันล้านเหรียญ สรอ.) ตามลาดับ

นโยบายทางการคลังและฐานะการคลัง

รัฐสภาสหรัฐฯ กาลังอยู่ในระหว่างพิจารณาตัดงบประมาณของปี 2554 บางส่วน เพื่อปรับลดยอดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาล

ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2554 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้เปิดการประชุมแก้ไขงบประมาณใช้จ่ายสาหรับปีงบประมาณ 2554 (เดือนตุลาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2554) โดยจะมีการพิจารณาตัดงบประมาณบางส่วนเพื่อปรับลดปริมาณการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวมีกาหนดต้องพิจารณาให้เสร็จสิ้นก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2554 ซึ่งกองทุนจากรัฐบาล (Federal Funds) สาหรับโครงการบางส่วนจะหมดอายุ โดยหากไม่มีการอนุมัติการใช้งบประมาณหรือการขยายกาหนดการพิจารณาออกไป โครงการของรัฐบาล หรือหน่วยงานบางส่วน อาจจะต้องปิดทาการลง ในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นในสมัยของประธานาธิบดีบิล คลินตันในปี 2538

หลังจากที่พรรครีพับรีกันกลับมาได้รับเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จากการเลือกตั้ง เทอมกลาง (Mid-term Election) ที่ผ่านมา พรรครีพับรีกันก็พยายามกดดันอย่างหนักเพื่อให้รัฐบาลของนาย โอบามาแก้ไขปัญหาการขาดดุลงบประมาณอย่างจริงจัง โดยได้เสนอแผนปรับลดงบประมาณการใช้จ่ายภายในประเทศ (Domestic Spending) เป็นจานวน 61 พันล้านเหรียญ สรอ. อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เห็นด้วยกับการตัดงบประมาณดังกล่าว โดยให้ความเห็นว่า การลงทุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลฯ จะเป็นปัจจัยสาคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

รัฐบาลสหรัฐฯ ประสบปัญหาการขาดดุลงบประมาณมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบัน สหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะสะสม (US Public Debt) เป็นมูลค่ารวมกว่า 14 ล้านล้านเหรียญ สรอ.

นโยบายทางการคลังและฐานะการคลัง

ประธานาธิบดีโอบามาได้เสนอร่างงบประมาณเบื้องต้นสาหรับปี 2555 ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ยื่นเสนอร่างงบประมาณเบื้องต้นสาหรับปีงบประมาณ 2555 (เดือนตุลาคม 2554 ถึงกันยายน 2555) ต่อรัฐสภาสหรัฐฯ แม้ว่าแผนงบประมาณดังกล่าวจะมีการปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลบางส่วนเพื่อลดปริมาณขาดดุลงบประมาณ แต่แผนงบประมาณฉบับนี้ยังคงให้ความสาคัญกับการลงทุนจากภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา เทคโนโลยี และการก่อสร้างถนนหนทาง ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาเห็นว่าจะเป็นเครื่องมือสาคัญในการวางรากฐานสาหรับการขยายตัวระยะยาวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีรายรับรวมทั้งสิ้น 2.6 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ในขณะที่มีรายจ่ายรวม 3.7 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ซึ่งจะทาให้ปริมาณขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจานวน 1.1 ล้านล้านเหรียญ สรอ.

ประธานาธิบดีโอบามาได้เสนอนโยบายสาคัญเพื่อรับมือการขาดดุลงบประมาณรัฐบาลประกอบด้วย (1) การคงระดับการใช้จ่ายภายในประเทศ (Domestic Spending) เป็นเวลา 5 ปี ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 400 พันล้านเหรียญ สรอ. และ (2) การปรับลดงบประมาณทางทหารเป็นจานวน 78 พันล้านเหรียญ สรอ. ภายในระยะ เวลา 5 ปี อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีไม่ได้เสนอแผนการรับมือในส่วนของโครงการประกันสังคม (Social Security) และการประกันสุขภาพ (Medicaid and Medicare) ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งนับเป็นสาเหตุหลักของการขาดดุลงบประมาณ

พรรครีพับริกันออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างงบประมาณประจาปี 2555 ของประธานาธิบดี โอบามา โดยทางพรรครีพับริกันต้องการให้มีการตัดงบประมาณการใช้จ่ายเพิ่มเติม อีกทั้ง ยังไม่เห็นด้วยกับแผนการขยายการลงทุนของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ รัฐสภาสหรัฐฯ จะนางบประมาณประจาปี 2555 เข้าสู่การประชุมพิจารณาในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2554 โดยในส่วนของพรรครีพับริกันมีแผนจะเสนอร่างงบประมาณจากพรรคตนเองในช่วงเดือนเมษายน 2554

นโยบายทางการคลังและฐานะการคลัง

ภาพรวมงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ ในปี 2555

จากร่างงบประมาณเบื้องต้นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปีงบประมาณ 2555 รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีรายจ่ายรวมทั้งสิ้น 3.7 ล้านล้านเหรียญ สรอ. โดยแบ่งเป็นส่วนสาคัญๆ ได้แก่ งบประมาณสาหรับโครงการประกันสังคม (Social Security) 770 พันล้านเหรียญ สรอ. และการประกันสุขภาพ (Medicare) 493 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณทางการทหาร 703 พันล้านเหรียญ สรอ. โครงการเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและประชากรที่มีรายได้ต่า 546 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณด้านสุขอนามัย (Healthcare) 369 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณเพื่อการขนส่งและคมนาคม 144 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณเพื่อช่วยเหลือทหารผ่านศึก 129 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณเพื่อการศึกษา 102 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณเพื่อนโยบายทางการต่างประเทศ 75 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณด้านเทคโนโลยี 33 พันล้านเหรียญ สรอ. งบประมาณเพื่อพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 37 พันล้านเหรียญ สรอ.

ในด้านของรายรับ รัฐบาลสหรัฐฯ จะมีรายรับในปี 2555 รวมทั้งสิ้น 2.6 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ซึ่งแบ่งเป็นรายรับจากการเก็บภาษีรายได้ส่วนบุคคล 1.1 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ภาษีจากภาคธุรกิจ 329 พันล้านเหรียญ สรอ. ภาษีจากโครงการประกันสังคม (Social Security Tax) และภาษีหักจากค่าจ้าง (Payroll Tax) 925 พันล้านเหรียญ สรอ. ภาษีสรรพสามิต 103 พันล้านเหรียญ สรอ. และภาษีอื่นๆ 129 พันล้านเหรียญ สรอ.

อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อย

ภาพรวมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในเดือนกุมภาพันธ์ 2554 เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินสกุลยูโรและเงินปอนด์ ในขณะที่อยู่ในระดับคงที่เมื่อเทียบกับเงินเยน และเงินหยวน โดยในช่วงดังกล่าว เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากที่สุดเทียบกับเงินปอนด์ ซึ่งลดลงประมาณร้อยละ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปลายเดือนมกราคม 2554 ทั้งนี้ อัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 อยู่ที่ 1.3760 USD/EUR, 1.6127 USD/GBP, 0.0122 USD/JPY, และ 0.1521 USD/CNY

เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ โดยค่าเงินดอลลาร์ ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2554 อยู่ที่ 30.6354 THB/USD ลดลงเล็กน้อยจาก 31.0800 THB/USD เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office

Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ