ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ดังนี้
1. ดัชนีเศรษฐกิจที่สาคัญในเดือนมิถุนายน 2554
2. ยอดการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลเยนเพิ่มขึ้น
3. ค่าเงินเยนต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 79 เยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐภายหลังการแทรกแซงของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น
----------------------------------- 1. ดัชนีเศรษฐกิจที่สาคัญในเดือนมิถุนายน 2554
1.1 ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) เดือนมิถุนายน 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9
กระทรวงเศรษฐกิจการค้าและอุตสาหกรรม (Ministry of Economic Trade and Industry)ได้เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Output) ของเดือนมิถุนายน 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ระดับ 92.7 (ปี 2548=100) ซึ่งเพิ่มขึ้นติดต่อเป็นเวลา 3 เดือน เนื่องจากการผลิตยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวดีขึ้น
1.2 ดัชนีราคาผู้บริโภค (Core Consumer Price Index)
กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคยกเว้นอาหารสด (CPI, ปี 2548=100) ประจาเดือนมิถุนายน 2554 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 อยู่ที่ 99.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน แต่อัตราการเพิ่มน้อยกว่าของเดือนที่แล้วที่มีอัตราอยู่ที่ร้อยละ 0.6 เนื่องจากราคาน้ามันมีการปรับตัวเพิ่มไม่มาก
1.3 อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate)
อัตราการว่างงานเดือนมิถุนายน 2554 อยู่ที่ร้อยละ 4.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้วที่มีอัตราว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ซึ่งเป็นการปรับตัวในทางลบเป็นครั้งแรกในรอบ 2 เดือน
1.4 การใช้จ่ายบริโภคเดือนมิถุนายน 2554 ลดลงร้อยละ 4.2
กระทรวงมหาดไทยและการสื่อสารได้เปิดเผยว่าการใช้จ่ายบริโภคประจาเดือนมิถุนายน 2554 ลดลงร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ซึ่งลดลงติดต่อกันเป็นเวลา 9 เดือน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซื้อรถยนต์และการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศลดลง และการรณณรงค์ให้ประหยัดพลังงานของรัฐบาลจากผลของการขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าส่งผลให้ค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซของครัวเรือนลดลง
หน่วยงานรัฐบาลและบริษัทเอกชนต่างประเทศได้ทาการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลเยนหรือ Samurai Bond เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีความกังวลด้านฐานะการคลังของสหรัฐฯ และยุโรปมากขึ้น นอกจากนี้ การที่ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) ใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่าและเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงในการลงทุนในพันธบัตรของยุโรปที่ได้รับผลกระทบของปัญหาหนี้สหรัฐฯ และยุโรปเอง และอัตราดอกเบี้ยระยะยาวญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับต่าอย่างมีเสถียรภาพทาให้มีแรงจูงใจในการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลเยนเพิ่มขึ้น โดยในเดือนมิถุนายน 2554 ยอดการออกพันธบัตรในรูปเงินสกุลเยนมีจานวนทั้งสิ้น 302.6 พันล้านเยน ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์
เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2554 รัฐบาลญี่ปุ่นและธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan: BOJ) ได้เข้าแทรกแซงค่าเงินเยนโดยการซื้อเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐและขายเงินเยนเพื่อลดการแข็งค่าของเงินเยนต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยการแทรกแซงครั้งนี้ญี่ปุ่นได้ดาเนินการเพียงลาพัง ต่างจากเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2554 ที่ญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศ G 7 ร่วมกันแทรกแซง นอกจากนั้นที่ประชุมของ BOJ ยังได้มีการตัดสินใจเพิ่มวงเงินเข้าซื้อสินทรัพย์ทางการเงินเช่นพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นของบริษัทเอกชนอีกเป็นจานวน 10 ล้านล้านเยน
การเข้าแทรกแซงค่าเงินเยนครั้งนี้มีสาเหตุเนื่องจากรัฐบาลและ BOJ เห็นว่าค่าเงินเยนได้แข็งตัวต่ากว่าระดับ 80 เยนต่อ 1 ดอลลาร์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นเป็นอย่างมากโดยเฉพาะภาคการส่งออกที่เป็นกาลังสาคัญของญี่ปุ่น และจากการแทรกแซงครั้งนี้ทาให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลงกว่าวันก่อนหน้าประมาณ 2 เยนอยู่ที่ 79.30 เยนต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในวันที่ 4 สิงหาคม 2554 และราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โตเกียวก็ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วย
สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ณ กรุงโตเกียว
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office
Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th