บทสรุปผู้บริหาร
- สำนักงานสถิติประกาศข้อมูลเบื้องต้นของเศรษฐกิจ U.K. ในไตรมาส 2 ปี 2554 ว่าเศรษฐกิจ U.K ขยายตัวในอัตราชะลอตัวจากไตรมาสก่อน 0.2%QoQ เทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.5%QoQ และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 0.7%YoY ลดลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.6%YoY
- เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นรายสาขาการผลิต พบว่าเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรหดตัวหรือขยายตัวในอัตราชะลอลงในเกือบทุกสาขาการผลิต โดยภาคเกษตรหดตัว -1.3%QoQ ภาคอุตสาหกรรมหดตัว -1.4%QoQ ภาคก่อสร้างขยายตัว 0.5%QoQ และภาคบริการขยายตัวชะลอลงเหลือ 0.5%QoQ
- สาเหตุหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจ U.K.ขยายตัวชะลอลงมาจากปจจัยพิเศษ ที่ไตรมาส 2 ปีนี้มีวันหยุดพิเศษ Royal Wedding ทาให้วันทาการน้อยกว่าปกติ และภาคการผลิตได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในญี่ปุนที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้วัตถุดิบในญี่ป่น และภาคการผลิตที่ลดลงจากความต้องการใช้จ่ายภายในประเทศที่น้อยลง
- เสถียรภาพเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยอัตราเงินเฟอปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยอัตราเงินเฟอที่คานวณจาก Consumer Price Index ในเดือน มิ.ย. ลดลงมาอยู่ที่ 4.2% จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 4.5%
- อัตราการว่างงานรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนพ.ค. ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.7 ของกาลังแรงงาน ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.8 ของกาลังแรงงาน
- ส่วนเสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสแรกของปี 2554 ขาดดุลลดลงมาอยู่ที่ -2.5% ของ GDP ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ -3.5% ของGDP
- ธนาคารกลางอังกฤษยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับต่าที่ร้อยละ 0.5 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ได้แก่ ยูโร ดอลลาร์สหรัฐ และเยน ในด้านภาคการคลัง รัฐบาลยังคงขาดดุลงบประมาณในเดือนมิ.ย. 2554 จานวน 14 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้หนี้สาธารณะ ยังอยู่สูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 61.9% ต่อ GDP
- เศรษฐกิจ U.K ไตรมาสสองปี 54 ขยายตัวอย่างเปราะบางโดยเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 0.2% จากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 0.5%
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2554 สานักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรได้ประกาศตัวเลข (เบื้องต้น) ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (U.K) ประจาไตรมาส 2 ของปี 2554 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อน (Quarter on Quarter: %QoQ) และขยายตัวร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (Year on Year: %YoY) ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.5%QoQ และ 0.7%Yoy
เมื่อพิจารณารายละเอียดการขยายตัวเศรษฐกิจจากด้านการผลิต จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรหดตัวหรือชะลออัตราการขยายตัวในเกือบทุกสาขาการผลิต โดยภาคการเกษตร (Agriculture) ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 1 ของภาคการผลิตทั้งหมด หดตัวลง -1.3%QoQ ภาคอุตสาหกรรม (Production) ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ17 ของภาคการผลิตทั้งหมด หดตัวลง -1.4%QoQ ภาคการก่อสร้าง (Construction) ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 6 ของภาคการผลิตทั้งหมด ขยายตัวร้อยละ 0.5% QoQ และภาคบริการ (Services) ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 76 ของภาคการผลิตทั้งหมด ชะลอการขยายตัวลงเหลือร้อยละ 0.5%QoQสำหรับสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในไตรมาส 2 ขยายตัวในอัตราชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก ส่วนหนึ่งมาจากปจจัยพิเศษที่ในไตรมาส 2 ของปี 2554 นี้มีวันหยุดราชการ (Bank Holiday) มากกว่าปกติในช่วงงานพิธี Royal Wedding ซึ่งส่งผลให้ภาคการผลิตมีวันทาการจริงน้อยกว่าปกติ นอกจากนั้น ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ ยังได้รับผลกระทบจากการหยุดผลิตของชิ้นส่วนการผลิตในประเทศญี่ปุนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิต (Supply chain) ในสหราชอาณาจักร นอกจากนั้น การผลิตของสหราชอาณาจักรที่ชะลอการขยายตัวในไตรมาส 2 นี้ ยังมาจากการชะลอของการใช้จ่ายภายในประเทศ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังคงอ่อนแอเนื่องจากปญหาการว่างงานและค่าครองชีพที่เร่งตัวสูงขึ้น และการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล
- เสถียรภาพเศรษฐกิจ U.K. ล่าสุด ปรับตัวดีขึ้น จากอัตราเงินเฟอในเดือนมิ.ย.และอัตราว่างงานรอบ 3 เดือน(มี.ค.-พ.ค.) ลดลงเล็กน้อย
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คานวณจากทั่วไป (Consumer Price Index: มิถุนายน 2554 อยู่ที่ร้อยละ 4.2 ต่อปี ลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคาสินค้าขายปลีก (Retail Price Index:RPI) ซึ่งสะท้อนค่าครองชีพของผู้บริโภครายย่อยจะพบว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายน 2554 ปรับตัวลดลงเช่นกันมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ลดลงจากเดือนพฤษภาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 5.2 ต่อปี ซึ่งดัชนีราคาสินค้าขายปลีกไม่นับรวมค่าดอกเบี้ยผ่อนบ้าน (RPI excluding mortgage interest payment: RPIX) ก็ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ในเดือนมิถุนายน จากร้อยละ 5.3 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม
สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหราชอาณาจักรปรับตัวลดลงในเดือนมิถุนายน มาจากการลดลงของสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ราคาเสื้อผ้า รองเท้า และเกมส์คอมพิวเตอร์ ที่ปรับลดลงมากในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากฤดูกาลลดราคา(Summer Sales) ที่เริ่มต้นรวดเร็วกว่าในปีก่อน ดังนั้น ผลของการปรับลดราคาดังกล่าวน่าจะส่งผลเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟอในเดือนมิถุนายนดังกล่าวยังได้รับแรงกดดันจากการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารที่ขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 6.9 ต่อปี และราคาขนส่งที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 7.9 ต่อปี
ทั้งนี้ การปรับลดของอัตราเงินเฟอในเดือนมิ.ย.ดังกล่าว ทาให้ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางของอังกฤษ ยังคงจะใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่าที่ปจจุบันอยู่แค่ร้อยละ 0.5 ต่อไป
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจที่วัดจากอัตราการว่างงานและการจ้างงานในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2554 (มีนาคม - พฤษภาคม 2554) ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2554 ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 7.7 ของกาลังแรงงาน ปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 0.1 จากอัตราการว่างงานในไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.8 ของกำลังแรงงาน โดยมีจานวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 2.45 ล้านคน ลดลงจากช่วง 3 เดือนก่อนหน้า 26,000 คน
ส่วนอัตราการมีงานทา (Employment Rate) ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุด ณ เดือนพฤษภาคม 2554 ยังคงทรงตัว 70.7 ของกาลังแรงงาน เท่ากันกับไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 70.7 ของกำลังแรงงาน โดยมีจานวนผู้มีงานทาที่อายุระหว่าง 16-64 ปี (Employment Level) 29.28 ล้านคน
ทั้งนี้ สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจำสหราชอาณาจักรและยุโรป วิเคราะห์ว่าการปรับตัวลดลงของอัตราการว่างงานของสหราชอาณาจักรดังกล่าว ไม่น่าจะยั่งยืน เนื่องจากเป็นการลดลงของอัตราการว่างงานเพียงเล็กน้อยแค่ร้อยละ 0.1 ของกำลังแรงงานทั้งหมด ขณะที่อัตราการมีงานทำต่อกำลังแรงงานกลับไม่ได้มีการเพิ่มขึ้น นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาจานวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานในช่วงหางานจากรัฐบาล (obseeker's Allowance: SA ในเดือนมิถุนายน มีจำนวนเพิ่มขึ้นสูงขึ้นถึง 24,500 คน ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการปรับลดสวัสดิการสังคมของรัฐบาล ส่งผลให้มีคนหางานมากขึ้น
- เสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นโดยดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงเหลือ -2.5% ของ GDP ในไตรมาสแรก
ดุลบัญชีเดินสะพัดของสหราชอาณาจักรในไตรมาสแรกของปี 2554 ปรับตัวดีขึ้น โดยขาดดุลลดลงจากไตรมาสก่อนหน้ามาอยู่ที่ 9.4 พันล้านปอนด์ หรือ ประมาณร้อยละ -2.5 ของ GDP ซึ่งเป็นการขาดดุลลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่ขาดดุลร้อยละ 13 พันล้านปอนด์ หรือ ประมาณร้อยละ -3.5 ของ GDP
สำหรับสาเหตุที่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงมาจาก (1) การขาดดุลที่ลดลงของดุลการค้าของสินค้ามาอยู่ที่ 22.2 พันล้านปอนด์ในไตรมาส 1ของปี 2554 ลดลงจากที่ขาดดุล 27.2 พันล้านปอนด์ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในไตรมาสแรกของปี 2554 อยู่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 74.6 พันล้านปอนด์ ขณะที่มูลค่าการนาเข้าของสินค้าลดลงมาอยู่ที่ 96.9 พันล้านปอนด์ ในไตรมาสแรกของปี 2554 (2) การเกินดุลบริการเพิ่มขึ้นในไตรมาสแรกของปี 2554 มาอยู่ที่ 13.8 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากที่เกินดุลบริการในไตรมาสก่อนหน้าที่ 13 พันล้านปอนด์ (3) ดุลบริจาคที่ขาดดุลลดลงมาอยู่ที่ขาดดุล 5.5 พันล้านปอนด์ในไตรมาสแรก ลดลงจากที่ขาดดุล 6.2 พันล้านปอนด์ในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากรัฐบาลตัดรายจ่ายงบประมาณให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ และ (4) การเกินดุลรายได้ผลตอบแทนจากต่างประเทศ จานวน 4.6 พันล้านปอนด์ในไตรมาสแรก โดยเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนทางตรงและการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของบริษัทอังกฤษในต่างแดน
- ธนาคารกลางอังกฤษยังคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่าต่อไป เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแม้ว่าอัตราเงินเฟอยังสูงกว่าเปาหมายเงินเฟออย่างต่อเนื่อง
เมื่อวันที่ 7 กรกฏาคม 2554 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติให้คงนโยบายอัตราดอกเบี้ย Bank rate ไว้ตามเดิมในอัตราร้อยละ 0.50 พร้อมกับคงมาตรการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Quantitative Easing: QE) จานวน 200 พันล้านปอนด์ ไว้ตามเดิม แม้ว่าอัตราเงินเฟอในสหราชอาณาจักรจะยังคงสูงกว่าเปาหมายอัตราเงินเฟอที่กาหนดไว้ให้ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี อย่างต่อเนื่อง แต่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) ส่วนใหญ่ (จานวน 6 คน จากคณะกรรมการทั้งหมด 9 คน) ยังเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 0.5 เนื่องจากสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจยังคงเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง โดยได้มีกรรมการ 1 ท่าน (ได้แก่ Mr. Posen) ที่เสนอให้ขยายมาตรการ Quantitative Easing เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี ได้มีคณะกรรมการเสียงข้างน้อยจานวน 2 คน (Mr.Weale และ Mr.Dale) ลงมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟอในสหราชอาณาจักรที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ตัวเลขอัตราเงินเฟอประจาเดือนมิถุนายน ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม (ภายหลังจาก MPC คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 7 ก.ค) ได้ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษอาจจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2554
เมื่อเปรียบเทียบนโยบายการเงินของธนาคารอังกฤษกับธนาคารกลางยุโรป จะเห็นได้ว่า ธนาคารกลางยุโรปได้มิมติในวันเดียวกันเพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงขึ้นอีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 6 เดือน เพื่อลดแรงกดดับเงินเฟอในยุโรปที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์มีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร
- ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ได้แก่ ยูโร ดอลลาร์สหรัฐ และเยน
ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตลาดการเงินได้คาดการณ์ล่วงหน้าว่าธนาคารกลางอังกฤษจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและธนาคารกลางยุโรปจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 7 กรกฏาคม 2554 ส่งผลให้ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงจากช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2554 ที่อยู่ที่ระดับ 1.135 ยูโร/ปอนด์ ได้อ่อนลงมาอยู่ที่ 1.11 ยูโร/ปอนด์ ในช่วงต้นเดือนกรกฏาคม อย่างไรก็ดี วิกฤติหนี้สาธารณะในกรีซที่ทวีความรุนแรงขึ้นและตลาดการเงินเริ่มกังวลถึงการลุกลามของวิกฤติไปสู่ประเทศสเปนและอิตาลี ส่งผลให้ค่าเงินยูโรกลับมาอ่อนค่าลงในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม และค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรจึงกลับมาแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่ 1.1329 ยูโร/ปอนด์
ขณะที่ค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและค่าเงินเยนได้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ดั่งจะเห็นได้จากค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนมิถุนายนอยู่ที่ระดับ 1.64 $/ปอนด์ ได้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.59 $/ปอนด์ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรป ได้ส่งผลให้นักลงทุนแห่ถอนเงินจากการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงกลับเข้าไปถือสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในสกุลดอลลาร์สหรัฐ (Safe-haven Assets) โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย นอกจากนั้น การที่เศรษฐกิจญี่ปุนเริ่มฟื้นตัวจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเร็วกว่าที่คาด ได้ส่งผลให้ค่าเงินเยนกลับมาแข็งค่าขึ้นเช่นกัน ค่าเงินปอนด่จึงอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จากระดับ 131.5 Y/ปอนด์ ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 128.01 Y/ปอนด์ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2554
- รัฐบาลยังคงขาดดุลงบประมาณในเดือนมิ.ย.54 จานวน 14 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้หนี้สาธาณะต่อ GDP ยังคงอยู่สูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ 61.9%
ยอดขาดดุลงบประมาณในเดือนมิถุนายน 2554 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณ 14 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้ยอดการขาดดุลงบประมาณสะสมสุทธิ ในปีงบประมาณ 2010 (สิ้นสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนยน 2554) (Cumulative public sector net borrowing) อยู่ที่ 39.2 พันล้านปอนด์ แต่เป็นการขาดดุลสะสมที่ต่ากว่ายอดกู้เงินสะสมในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนที่อยู่ที่ 39.5 พันล้านปอนด์ ทั้งนี้ กระทรวงการคลังสหราชอาณาจักรคาดว่ายอดขาดดุลสะสมสุทธิในปีงบประมาณ 2011-2012 นี้ น่าจะอยู่ที่ 122 พันล้านปอนด์ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการลดการขาดดุลการคลังของรัฐบาลจากยอดขาดดุลสะสมสุทธิในปีงบประมาณก่อน (2010-2011) ที่ขาดดุลสุทธิทั้งสิน้น 142.1 พันล้านปอนด์
สำหรับยอดหนี้สาธารณะสุทธิ (ที่ไม่รวมมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2554 ยังคงเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 944.3 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 61.9 ของ GDP ซึ่งสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 803.7 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 55.3 ของ GDP
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th