ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป กรกฎาคม 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Monday August 8, 2011 08:01 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • วันที่ 6 ก.ค.54 สำนักงานสถิติฯ Euro Stat ประกาศยืนยันตัวเลขอัตราขยายตัวเศรษฐกิจในเขตยูโร 17 ประเทศ (Euro area: EA17) ในไตรมาส 1 ปี 2554 โดยขยายตัวดีขึ้นร้อยละ 0.8 จากไตรมาสก่อน (%QoQ) และขยายตัวร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (%yoy)
  • แต่รายละเอียดของอัตราการขยายตัวสะท้อนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากขึ้น โดยเศรษฐกิจหลัก (Core Economies) เช่น เยอรมนีและฝรั่งเศส ยังขยายตัวดี แต่เศรษฐกิจรอยขอบเขตยูโร (Peripheral Economies) โดยเฉพาะประเทศกลุ่ม PIIGS (โปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ กรีซ สเปน) ยังคงอ่อนแอจากปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปี 2554 ซึ่งวัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคการผลิต (Composite Purchasing Managers' Index: Composite PMI) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร บ่งชี้ เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนโดยรวมในไตรมาส 2 มีแนวโน้มชะลอตัวจากไตรมาสแรกของปี 2554 โดยเศรษฐกิจเยอรมนีและฝรั่งเศสที่เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาเริ่มขยายตัวในอัตราชะลอลง
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • สภาพเศรษฐกิจที่ชะลอลงส่งผลให้อัตราการว่างงานของกลุ่มยูโรโซนในเดือนพ.ค.ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 9.9% ของกาลังแรงงาน โดยประเทศ PIIGS มีอัตราการว่างงานสูงมาก
  • อัตราเงินเฟอเขตยูโรโซนในเดือนมิ.ย.54 ทรงตัวที่ร้อยละ 2.7 ต่อปี แต่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรปที่ร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน
ภาคการเงินและการคลัง
  • ECB ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 อยู่ที่ร้อยละ 1.5 ในเดือนก.ค.เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ
  • วิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปกลับมาทวีความรุนแรงขึ้น จน EU/IMF ต้องออกมาตรการ ช่วยเหลือกรีซเพิ่มเติมอีก 109 พันล้านยูโร และออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยปองกันการลุกลามของวิกฤติไปยังประเทศอื่นในเขตยูโรโซน แต่สานักงานทีปรึกษาฯ ประเมินว่า มาตรการดังกล่าวอาจช่วยคลายความกังวลแก่นักลงทุนในระยะสั้น เพราะปญหาพื้นฐานของหนี้สาธารณะที่สูงล้นพ้นตัว (Solvency) ของหลายประเทศรอยขอบ ยังไม่ได้รับการแก้ไข (บทสรุปมาตรการล่าสุดและการประเมินผลมาตรการ อยู่ในหัวข้อประเด็นสาคัญในรอบเดือนนี้)
ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 1/2554
  • Eurostat ประกาศตัวเลขสุดท้ายยืนยันเศรษฐกิจยูโรโซนขยายตัวดีขึ้นในไตรมาสแรก แต่สะท้อนการเติบโตที่แตกต่างกันมากขึ้นระหว่างเศรษฐกิจหลักกับเศรษฐกิจชายขอบ

วันที่ 6 ก.ค.54 สานักงานสถิติ Euro Stat ยืนยันอัตราขยายตัวเศรษฐกิจในเขตยูโร 17 ประเทศ (Euro area: EA17) ในไตรมาส 1 ปี 2554 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.8 (quarter on quarter: %QoQ) และร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (year on year: %yoy) แต่สะท้อนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันมากขึ้น ระหว่างเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศหลัก (Core Economies) ในเขตยูโรโซน โดยเฉพาะเยอรมนี ซึ่งมีขนาดร้อยละ 27 ของเศรษฐกิจยูโร และ ฝรั่งเศส ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 21 ของเศรษฐกิจยูโร ยังขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 1.5 (%QoQ) และร้อยละ 1.0 (%QoQ) ตามลาดับ ขณะที่เศรษฐกิจรอยขอบเขตยูโรโซน (Periphery) เช่น อิตาลี สเปน โปรตุเกส ยังขยายตัวในอัตราต่าหรือหดตัวจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในประเทศ ยกเว้นไอร์แลนด์ที่เศรษฐกิจในไตรมาสแรกฟื้นตัวดีขึ้นกว่าประเทศ Periphery อื่นๆ ที่ขยายตัวได้ร้อยละ 1.3 (%QoQ)

เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ของปี 2554
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจเขตยูโรในไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงบ่งชี้เศรษฐกิจยูโรไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสแรก

เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของปี 2554 ซึ่งวัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคการผลิต (Composite Purchasing Managers' Index: Composite PMI) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนโดยรวมในไตรมาส 2 มีแนวโน้มชะลอตัวจากไตรมาสแรกของปี 2554 โดยดัชนี Composite PMI ในเดือนมิถุนายนปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 53.3 จุด ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากที่อยู่ที่ 55.8 จุดในเดือนพฤษภาคม และเป็นระดับดัชนีที่ต่าที่สุดในรอบ 20 เดือน

เมื่อพิจารณาเครื่องชี้ Composite PMI เป็นรายประเทศ จะเห็นได้ว่าดัชนียอดคาสั่งซื้อของเศรษฐกิจหลักในเขตยูโรโซน (Core Economies) โดยเฉพาะเยอรมนีและฝรั่งเศส ซึ่งเติบโตได้ดีและเป็นปจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจในเขตยูโรในช่วงที่ผ่านมา ได้เริ่มปรับตัวลดลง ในขณะที่ดัชนียอดคาสั่งซื้อในประเทศอื่นๆ ในเขตยูโร (Periphery)ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนได้ว่าปญหาหนี้สาธารณะในเขตประเทศรอยขอบยูโร (Periphery) อาจเริ่มส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจหลักในเขตยูโรขยายตัวชะลอลง กล่าวโดยสรุป จากเครื่องชี้ดังกล่าว สำนักงานที่ปรึกษาฯ คาดว่าเศรษฐกิจในเขตยูโรในไตรมาส 2 น่าจะขยายตัวในอัตราชะลอลงจากไตรมาส 1

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • สภาพเศรษฐกิจเขตยูโรที่ชะลอตัวลง ได้ส่งผลให้การว่างงานยังอยู่ในระดับสูง โดยอัตราการว่างงานในเดือนพ.ค.ยังทรงตัวระดับสูงที่ร้อยละ 9.9 ของกาลังแรงงาน

อัตราการว่างงานที่ปรับตามฤดูกาลแล้วของประเทศในเขต Euro area 17 ประเทศ ประจาเดือนพฤษภาคม 2554 ยังคงทรงตัวระดับสูงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ที่ร้อยละ 9.9 ของกาลังแรงงาน โดยแม้ว่าในเยอรมนี ซึ่งมีขนาดของระบบเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยูโร จะมีอัตราการว่างงานลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 6.0 ในเดือนพฤษภาคม แต่อัตราการว่างงานในประเทศรอยขอบยูโร (Periphery) ได้แก่ สเปน และไอร์แลนด์ ยังมีอัตราการว่างงานอยู่ในระดับสูงมากที่ร้อยละ 20.9 และร้อยละ 14 ตามลาดับ ส่งผลให้อัตราว่างงานในเขตยูโรยังคงทรงตัวในระดับสูง

สาเหตุหลักที่อัตราการว่างงานในประเทศรอยขอบยูโรยังอยู่ในระดับสูงมากมาจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในระดับสูง ส่งผลให้รัฐบาลจาเป็นต้องตัดลดงบประมาณรายจ่ายและตัดลดจานวนข้าราชการ ส่งผลให้มีการว่างงานในภาครัฐจานวนมาก ทั้งนี้ การที่อัตราการว่างงานในเขตยูโรที่ยังทรงตัวในระดับสูงนี้ คาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องทาให้การบริโภคภาคเอกชนของประเทศในเขตยูโร ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 58 ของ GDP ขยายตัวชะลอลง ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราชะลอลงในไตรมาสสอง

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • เงินเฟ้อเขตยูโรโซนในเดือนมิ.ย.ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.7 ต่อปี แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในเดือนมิ.ย.เร่งตัวสูงขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี

อัตราเงินเฟอทั่วไปที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonised Index of Consumer Prices: HICP) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร Euro Area ประจาเดือนมิถุนายน 2554 ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 2.7% ต่อปี (%yoy) ทาให้อัตราเงินเฟอสูงขึ้นเกินกว่ากรอบเปาหมายอัตราเงินเฟอของธนาคารกลางยุโรปที่กาหนดให้อัตราเงินเฟอ(Inflation Targeting) สูงไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน สาหรับอัตราเงินเฟอฟื้นฐาน (Core Infation) ที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดอาหาร สุรา ยาสูบ และพลังงาน (HICP excluding food, alcohol, tobacco and energy) ในเดือนมิถุนายน 2554 ได้เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 1.5 ในเดือนพฤษภาคม 2554

สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟอทั่วไปในเดือนมิ.ย.ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟอพื้นฐานสูงขึ้นเล็กน้อยในเดือนนี้ มาจากการที่ราคาพลังงานในตลาดโลกได้เริ่มปรับตัวลดลงตามราคาน้ามันดิบในตลาดโลกที่ลดลง โดยอัตราเงินเฟอของสินค้าในหมาวดพลังงานในเดือนมิถุนายนได้ปรับลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.2

อย่างไรก็ดี แม้ว่าอัตราเงินเฟอทั่วไปจะทรงตัวเท่ากับเดือนก่อน แต่อัตราเงินเฟอทั่วไปยังคงสูงกว่าเปาหมายเงินเฟอต่อเนื่อง ส่งผลให้ธนาคารกลางของยุโรป (Eurepean Central Bank: ECB) ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนกรกฎาคม 2554

อัตราดอกเบี้ย
  • ECB ขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในเดือนกรกฎาคม เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟอในยูโรโซน

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา คณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป (European Central Bank: ECB) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Market Refinancing Operations (MRO) อีกร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.50 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่สองในรอบปีภายหลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้วร้อยละ 0.25 ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ สาเหตุที่ธนาคารกลางสหภาพยุโรปประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟอที่เร่งตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่อัตราเงินเฟอทั่วไปได้อยู่สูงกว่าเปาหมายเงินเฟอของธนาคารกลางเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน

อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปอาจจะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมในรอบถัดไป เพื่อรอดูแนวโน้มอัตราเงินเฟอที่น่าจะมีแรงกดดันลดลง และรอดูสถานการณ์การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรที่ยังคงเปราะบางจากปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในประเทศโปรตุเกส ไอร์แลนด์ กรีซ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหภาพยุโรปและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) จาเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินเพิ่มเติมและเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้แก่รัฐบาลกรีซอีก 109 พันล้านยูโร ทั้งนี้เพื่อปองกันไม่ให้ปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะลุกลามไปสู่ประเทศสมาชิกอื่นๆ ในเขตยูโรโซน

อัตราแลกเปลี่ยน
  • การปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปส่งผลให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น ก่อนอ่อนค่าลงจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธาณะของกรีซและประเทศรอบเขตยูโรโซน

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินยูโรได้แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมตามการคาดการณ์ของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป อย่างไรก็ดี ปญหาหนี้สาธารณะของประเทศในกลุ่มรอยขอบยูโร (Periphery) ได้ทวีความรุนแรงขึ้น จนสหภาคยุโรปและ IMF ต้องเพิ่มวงเงินช่วยเหลือให้แก่รัฐบาลกรีซอีก 109 พันล้านยูโร ได้ส่งผลให้นักลงทุนระหว่างประเทศ แห่ถอนเงินออกจากยุโรปไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลหลักอื่นๆ ส่งผลให้ค่าเงินยูโรกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลหลัก ได้แก่ ปอนด์สเตอริง ดอลลาร์สหรัฐ และเยน โดยค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับปอนด์สเตอริงในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้อ่อนลงประมาณร้อยละ 2.6 โดยช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2554 ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับปอนด์อยู่ที่ประมาณ 0.9 ปอนด์/ยูโร ได้อ่อนลงมาอยู่ที่ 0.87 ปอนด์/ยูโร ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2554 สำหรับค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ได้อ่อนค่าลงเช่นกันประมาณร้อยละ 1.33 ในรอบเดือนที่ผ่านมา โดยค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 1.44 $/ยูโร ได้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 1.42 $/ยูโร ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ขณะที่ค่าเงินยูโรเทียบกับค่าเงินเยนก็มีทิศทางอ่อนลงมากที่ประมาณร้อยละ 5.17 เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติพิจารณาว่าการถือสินทรัพย์สกุลเยนในขณะนี้น่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุด (Safe haven assets) เมื่อเทียบกับสินทรัพย์สกุลยูโรที่ประสบกับวิกฤติหนี้สาธารณะ และสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ที่รัฐสภายังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานการก่อหนี้ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้สหรัฐฯ อาจไม่สามารถชาระหนี้ได้ตามปกติ ส่งผลให้นักลงทุนแห่มาลงทุนซื้อสินทรัพย์ในสกุลเยน ค่าเงินเยนจึงแข็งขึ้นมาก ทำให้ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับค่าเงินเยนอ่อนลงจาก 116 เยน/ยูโร ในช่วงต้นเดือนก.ค มาอยู่ที่ 110.5 เยน/ยูโร ในช่วงปลายเดือนก.ค. 2554

ประเด็นเศรษฐกิจสาคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม ที่ผ่านมา ประเทศในกลุ่มยูโรโซน ได้บรรลุข้อตกลงมาตรการที่จะช่วยเหลือกรีซใหม่ โดยจะให้กองทุน European Financial Stability Facility: EFSF และกองทุน IMF ช่วยเหลือทางการเงินให้แก่กรีซเพิ่มเติมอีกจานวน 109 พันล้านยูโร เพิ่มเติมจากเดิมที่ประเทศต่างๆ เคยอนุมัติวงเงินช่วยเหลือไปแล้ว 110 พันล้านยูโร ซึ่งได้มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 65 พันล้านยูโร (โดยวงเงินช่วยเหลือเดิมที่เหลืออีก 45 พันล้านยูโร จะถูกยกเลิกและถูกทดแทนด้วยวงเงินช่วยเหลือใหม่ ส่งผลให้วงเงินช่วยเหลือกรีซ รวมทั้งหมดจะอยู่ที่ 174 พันล้านปอนด์)
  • นอกจากการเพิ่มวงเงินให้แก่กรีซข้างต้น ประเทศกลุ่มยูโรโซนยังได้ออกมาตรการความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศที่ประสบปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้

1. มาตรการเพื่อลดภาระหนี้สาธารณะของกรีซที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว (Solvency Problem) และช่วยแก้ปญหาสภาพคล่องที่รัฐบาลกรีซจาเป็นต้องกู้เงินเป็นจานวนมากเพื่อชดเชยการขาดดุลการคลัง (Liquidity Problem) โดยกองทุน EFSF/IMF จะให้ความช่วยเหลือปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยที่ต่ากว่าตลาดให้รัฐบาลกรีซกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล ตามเงื่อนไข (Conditionality) ที่ตกลง และกองทุน EFSF จะเข้ามาช่วยซื้อพันธบัตรกรีซในตลาดรองในราคาที่ต่ากว่ามูลค่าที่ตราไว้ เพื่อช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของรัฐบาลกรีซเหลือประมาณ 3.5% (จากเดิมประมาณ 6%) รวมทั้งช่วยยืดอายุของพันธบัตรรัฐบาลกรีซให้มีระยะยาวขึ้น (Debt Restructuring) เป็นระยะเวลา 15 ปี (จากเดิมประมาณ 7.5 ปี)

2. มาตรการเพื่อช่วยลดความเสี่ยงของการแพร่กระจายทางการเงินไปยังสถาบันการเงิน (Contagion Effect) โดยเพิ่มอานาจให้กองทุน EFSF สามารถให้เงินเพิ่มทุนแก่สถาบันการเงินที่ประสบปญหาได้ด้วย นอกเหนือจากที่ปล่อยกู้แก่รัฐบาลตามปกติ นอกจากนั้นยังอนุญาตให้กองทุน EFSF สามารถซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรอง (Secondary Market) ได้ด้วย เพื่อที่จะสามารถลดแรงกดดันของการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่นักลงทุนขาดความมั่นใจและแห่ขายพันธบัตรรัฐบาล จนอาจเป็นเหตุให้ต้นทุนอัตราดอกเบี้ยสูงจนรัฐบาลขาดความสามารถชาระหนี้

3. มาตรการที่เสนอให้ภาคเอกชนที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลกรีซต้องเข้ามามีส่วนร่วมรับผิดชอบของการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซด้วย (Private Sector Initiative:PSI)โดยภาคเอกชนมีทางเลือกที่จะปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาลกรีซด้วยการแลกเปลี่ยนพันธบัตรรัฐบาลกรีซที่ถืออยู่กับพันธบัตรใหม่ที่มูลค่าลดลง โดยมีทางเลือกที่จะยืดอายุการชาระหนี้ออกไปเป็น 30 ปีและได้ดอกเบี้ยน้อยลง หรือ การยอมลดเงินต้น (Hair Cut) ประมาณ 20% และยืดอายุการชาระเงินเป็น 15 ปี โดยอาจได้ดอกเบี้ยสูงกว่ากรณีแรก

สานักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินผลของมาตรการล่าสุด ดังนี้

ระยะสั้น: 1.หลังจาก EU ประกาศมาตรการดังกล่าว ตลาดได้คลายความกังวล เกี่ยวกับความเสียงในการผิดนัดชาระหนี้ของกรีซ โดยค่าประกันความเสี่ยงการผิดนัดชาระหนี้ (Credit Default Swap) ของประเทศ PIIGS (โปรตุเกส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ สเปน) ได้ปรับลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะกรีซ ค่าความเสี่ยง CDS ที่อยู่สูงถึง 2,475 bps (24.75%) ได้ลดลงมาอยู่ที่ 1,662 bps (16.62%)

2. มาตรการการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซโดยให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบ อาจส่งผลให้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Credit Rating Agency ประกาศว่ารัฐบาลกรีซผิดนัดชาระหนี้บางส่วน (Selective Default) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินที่ถือพันธบัตรรัฐบาลกรีซจะต้องตั้งเงินสารองมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการกู้เงินและตลาดเงินในระยะสั้น ระยะยาว: 1. มาตรการดังกล่าวอาจช่วยลดปญหาหนี้สินและปญหาการขาดสภาพคล่องของกรีซได้บ้าง แต่ปญหาหนี้สาธารณะของประเทศ ยังคงเป็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากประเทศเหล่านี้ยังคงมีหนีสาธารณะอยู่ในระดับสูงมาก โดยหนี้สาธารณะต่อ GDP ของกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส ยังอยู่ในระดับสูงที่ 150% 107% 90%

2. มาตรการล่าสุดของ EU ยังไม่ได้มีการเพิ่มขนาดของกองทุน EFSF เนื่องจากการจะเพิ่มขนาดของกองทุนต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาของทุกประเทศในเขตยูโรโซน ซึ่งหากปญหาหนี้สาธารณะได้ลุกลามไปสู่สเปน และอิตาลี กองทุน EFSF อาจจะมีขนาดไม่เพียงพอ

3.สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ อาจทยอยปรับลดอันดันความน่าเชื่อถือของประเทศอื่นๆ ที่มีหนี้สาธารณะสูง เนื่องจากคาดการณ์ว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลของประเทศอื่น อาจต้องผิดชาระหนี้บางส่วน (Selective Default) เช่นเดียวกับกรีซ ดังนั้น หากมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสเปน และอิตาลี ซึ่งมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 และ 4 ในเขตยูโรโซน อาจส่งผลกระทบให้ตลาดการเงินโลกผันผวนอีกครั้ง

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ