ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร สิงหาคม 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday September 1, 2011 11:28 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • สำนักงานสถิติ U.K ประกาศข้อมูล Second Estimate ยืนยันเศรษฐกิจ U.K. ในไตรมาส 2 ขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสก่อน 0.2%QoQ เทียบกับไตรมาสแรกที่ 0.5%QoQ และขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน 0.7%YoY ลดลงจากไตรมาสแรกที่ 1.6%YoY
  • แม้ว่าสำนักงานสถิติ U.K จะไม่ได้ปรับเปลี่ยนตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวมจากที่ได้แถลงข้อมูลเบื้องตันในเดือนก่อน แต่ในรายละเอียดได้ปรับลดอัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมจากเดิมที่หดตัว -1.4%QoQ เป็นหดตัวมากขึ้นที่ -1.6%QoQ ขณะที่ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวภาคบริการ โดยเฉพาะภาคการเงินจากที่ขยายตัว 0.7%QoQ เป็น 0.8%QoQ
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาส 3 บ่งชี้ เศรษฐกิจ UK ยังคงเติบโตอย่างเปราะบาง โดยดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดต่ำกว่าระดับ 50 สะท้อนการผลิตอุตสาหกรรมที่ลดลง ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ ของ UK ล่าสุดปรับตัวแย่ลง ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อที่คานวณจาก CPI ในเดือน ก.ค สูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.4% จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 4.2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อจากราคาขายปลีก RPI ทรงตัวระดับสูงที่ 5%อัตราการว่างงานในไตรมาส 2 สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.9 ของกาลังแรงงาน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.8 ของกาลังแรงงาน
  • ส่วนเสถียรภาพต่างประเทศปรับตัวแย่ลงเช่นกัน โดยดุลการค้าของสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ของดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาสสองของปี 2554 ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกถึง 2.4 พันล้านปอนด์ เนื่องจากการส่งออกที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจโลกและคู่ค้าที่ชะลอตัว
ภาคการเงินและภาคการคลัง
  • ธนาคารกลางอังกฤษมีมติเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.5 ต่อไป เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 54 เหลือ 1.5% สะท้อนมุมมองความเสี่ยงด้านการชะลอตัวเศรษฐกิจ UK ที่มากขึ้น
  • นโยบายตัดรายจ่ายทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณลดลงเหลือ 20 ล้านปอนด์ในเดือน ก.ค.อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ข้อมูล Second Estimate ยืนยันเศรษฐกิจ UK ไตรมาส 2 ขยายตัว 0.2%

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรได้ประกาศตัวเลข Second Estimate ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (U.K) ไตรมาส 2 ของปี 2554 เท่ากับที่เคยประกาศตัวเลขเบื้องต้น (Preliminary) ในเดือนกรกฎาคม โดยเศรษฐกิจ U.K ในไตรมาส 2 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.2 (%QoQ) ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.5%QoQ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจ U.K. ขยายตัวที่ร้อยละ 0.7% YoY ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.6%YoY

เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรได้ประกาศตัวเลข Second Estimate ของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (U.K) ไตรมาส 2 ของปี 2554 เท่ากับที่เคยประกาศตัวเลขเบื้องต้น (Preliminary) ในเดือนกรกฎาคม โดยเศรษฐกิจ U.K ในไตรมาส 2 ขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.2 (%QoQ) ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 0.5%QoQ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกจิ U.K. ขยายตัวที่ร้อยละ0.7% YoY ชะลอตัวจากไตรมาสแรกที่ขยายตัว 1.6%YoY

เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 3/2554
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจเดือนแรกของไตรมาส 3 ชี้ดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวขณะที่ภาคบริการที่เป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อเนื่อง

ในเดือนกรกฎาคม 2554 ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาส 3/2554 เครื่องชี้เศรษฐกิจจาก ผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Purchasing Managers’ Index: PMI) ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจในการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักร ปรับตัวลดลงมาอยู่ต่ากว่า 50 จุด ที่ 49.1 จุด ซึ่งแสดงถึงคาสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมที่ไม่ขยายตัว เนื่องจากยอดคาสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ลดลงมากตามการใช้จ่ายภายในประเทศที่ลดลงและการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐ ประกอบกับยอดคาสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศที่เคยเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ได้กลับมาชะลอตัวเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวลดลง

อย่างไรก็ดี ดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคบริการ (Services Purchasing Managers’ Index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้การผลิตภาคบริการที่มีสัดส่วนสูงสุดในระบบเศรษฐกิจ ยังคงเติบโตต่อเนื่องในเดือนก.ค. โดยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 55.4 จุด จากเดือนมิ.ย.ที่อยู่ที่ 53.9 จุด สะท้อนถึงภาคบริการที่ยังช่วยประคับประคองการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของ U.K. ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่ช่วยให้ภาคบริการยังเติบโตได้ดีมาจากบริการด้านธุรกิจ ข้อมูลเทคโนโลยี และบริการด้านคอมพิวเตอร์ (Business Service IT and Computing) ที่ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ
  • เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศล่าสุดอ่อนแอจากอัตราเงินเฟ้อในเดือนก.ค.ที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น

อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่คำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Price Index: CPI) ประจำเดือนกรกฎาคม 2554 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่อยู่ที่ร้อยละ 4.2 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่คานวณจากดัชนีราคาสินค้าขายปลีก (Retail Price Index:RPI) ซึ่งสะท้อนค่าครองชีพของผู้บริโภครายย่อยจะพบว่า อัตราเงินเฟ้อ RPI ในเดือนกรกฎาคม2554 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงเท่ากับเดือนมิถุนายนที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี สาหรับอัตราเงินเฟ้อราคาขายปลีกที่ไม่นับรวมค่าดอกเบี้ยผ่อนบ้าน (RPI excluding mortgage interest payment: RPIX) ในเดือนกรกฏาคม ก็ทรงตัวในระดับสูงเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 5.0 ต่อปีเช่นเดียวกัน

สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหราชอาณาจักรปรับตัวสูงขึ้นในเดือนกรกฎาคม มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ราคาเสื้อผ้า และรองเท้า ที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นผลมาจากฤดูกาลลดราคา(Summer Sales) ที่ในปีนี้เริ่มต้นและสิ้นสุดในช่วงเวลาที่เร็วกว่าในปีก่อน ส่งผลให้ราคาสินค้าโดยทั่วไปในเดือนมิถุนายนปรับตัวลดลงมากกว่าปกติ ขณะที่ราคาสินค้าโดยทั่วไปในเดือนกรกฎาคมจึงปรับตัวสูงขึ้นกว่าปกติเช่นกัน

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมที่ปรับสูงขึ้นดังกล่าว จะมีผลต่อเนื่องไปถึงอัตราเงินเฟ้อในปีหน้า โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อ RPI ในเดือนกรกฎาคมจะถูกนาไปกาหนดการปรับขึ้นค่าสาธารณูปโภคที่สาคัญของปีต่อไป ตัวอย่างเช่น ค่าโดยสารรถไฟในปีหน้าจะเพิ่มขึ้นเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ RPI + 3% ซึ่งเท่ากับ 8% ใปปี 2555

ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจที่วัดจากอัตราการว่างงานในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2554 (เมษายน — มิถุนายน 2554) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.9 ของกาลังแรงงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.1 จากอัตราการว่างงานในไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.8 ของกาลังแรงงาน โดยมีจานวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 2.494 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับที่สูงขึ้นใกล้เคียงกับระดับการว่างงานสูงที่สุดในช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี 2552 ที่อยู่ที่ 2.511 ล้านคน และเมื่อพิจารณาจานวนผู้ว่างงานที่มีไม่มีงานทาเกินกว่า 6 เดือนมีอยู่สูงถึง 1.23 ล้านคน

ส่วนอัตราการมีงานทำ (Employment Rate) ในรอบ 3 เดือนสิ้นสุด ณ เดือนมิถุนายน 2554 ยังคงทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 70.7 ของกำลังแรงงาน เท่ากันกับไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 70.7 ของกำลังแรงงาน โดยมีจำนวนผู้มีงานทำที่อายุระหว่าง 16-64 ปี (Employment Level) ทั้งสิ้น 29.27 ล้านคน ซึ่งสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น ขณะที่อัตราการมีงานทำเท่าเดิม

เมื่อพิจารณาเครื่องชี้อัตราการว่างงานจากตัวเลขจานวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานในช่วงหางานจากรัฐบาล (Jobseeker’s Allowance: JSA) ในเดือนกรกฏาคม จะพบว่า อัตราการว่างงานของสหราชอาณาจักรในเดือนกรกฎาคมน่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในเดือนกรกฎาคมมีจาผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนถึง 37,100 คน ซึ่งเป็นจานวนการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน อย่างไรก็ดี สาเหตุส่วนหนึ่งที่จานวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานเพิ่มขึ้น อาจจะมีสาเหตุมาจากการปรับลดสวัสดิการอันสืบเนื่องจากการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลด้วยอีกส่วนหนึ่ง

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศ
  • เสถียรภาพต่างประเทศในเดือนมิ.ย.ปรับตัวแย่ลง จากดุลการค้าที่ขาดดุลมากขึ้น

ดุลการค้าสินค้าและบริการของสหราชอาณาจักรในเดือนมิถุนายนของปี 2554 ปรับตัวแย่ลง โดยดุลการค้าสินค้าและบริการขาดดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -4.5 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากที่ขาดดุล -2.8 พันล้านปอนด์ในเดือนเมษายน และ -4.0 พันล้านปอนด์ในเดือนพฤษภาคม โดยเป็นการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นของดุลการค้าของสินค้า ที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากที่ขาดดุล -7.3 พันล้านปอนด์ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่ -8.5 พันล้านปอนด์ และ -8.9 พันล้านปอนด์ ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ตามลำดับ ขณะที่ดุลบริการในเดือนมิถุนายน ยังคงเกินดุลเท่ากับเดือนพฤษภาคมที่ 4.4 พันล้านปอนด์

สำหรับสาเหตุที่ดุลการค้าของสินค้าในเดือนมิถุนายนขาดดุลมากขึ้นมาจากมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนมิถุนายนที่ลดลงจากเดือนก่อน 1.2 พันล้านปอนด์ (ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 4.8) มาอยู่ที่ 24 พันล้านปอนด์ ขณะที่มูลค่าการนาเข้าสินค้าในเดือนมิถุนายนลดลงจากเดือนก่อนในปริมาณที่น้อยกว่าเพียง 0.8 พันล้านปอนด์ (ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 2.4) มาอยู่ที่ 32.9 พันล้านปอนด์ นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาดุลการค้าของสินค้าของไตรมาสสองในปี 2554 จะเห็นได้ว่า ขาดดุลมากขึ้นจากไตรมาสแรกถึง 2.4 พันล้านปอนด์ โดยดุลการค้าในไตรมาสสองขาดดุลทั้งสิ้น 24.6 พันล้านปอนด์ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ขาดดุล 22.2 พันล้านปอนด์

สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจาสหราชอาณาจักรและยุโรป ประเมินว่า ดุลการค้าของสหราชอาณาจักรที่ขาดดุลมากขึ้นในไตรมาสสอง เป็นการสะท้อนถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจด้านต่างประเทศที่ด้อยลง เนื่องจากมูลค่าการส่งออกของสหราชอาณาจักรที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจคู่ค้าหลักที่ชะลอลง ส่งผลให้คาสั่งซื้อสินค้าส่งออกจากสหราชอาณาจักรลดลง

นโยบายการเงินและอัตราดอกเบี้ย
  • คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเอกฉันท์ 9ต่อ0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยต่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจพร้อมกับปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2554 เหลือ 1.5% (จากเดิมที่คาด1.8%)

ในเดือนสิงหาคม คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติเป็นเอกฉันท์ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินทุกท่านทั้ง 9 ท่าน ตัดสินใจให้คงนโยบายอัตราดอกเบี้ย Bank rate ไว้ตามเดิมในอัตราร้อยละ 0.50 จากเดิมที่มีคณะกรรมการเสียงข้างน้อยจานวน 2 คน (Mr.Weale และ Mr.Dale) ลงมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 เพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรที่ปรับตัวสูงขึ้น การลงมติในการประชุมคณะกรรมการ นโยบายการเงินในเดือนสิงหาคมที่เป็นเอกฉันท์นี้ ได้สะท้อนให้เห็นมุมมองของคณะกรรมการ นโยบายการเงินต่อความเสี่ยงของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีมากขึ้น ทั้งๆ ที่อัตราเงินเฟ้อของอังกฤษยังคงปรับตัวสูงขึ้นกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% มาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนั้น คณะกรรมการนโยบายการเงินของอังกฤษ ได้มีมติให้คงมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Quantitative Easing: QE) จานวน 200 พันล้านปอนด์ ไว้ตามเดิม แต่มีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee) 1 ท่าน (Mr.Posen) ยังคงเห็นควรให้ขยายมาตรการ Quantitative Easing อีก 50 พันล้านปอนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มากขึ้นอีก

มติอย่างเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินที่ให้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ สอดคล้องกับการที่ธนาคารกลางอังกฤษประกาศปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจมาอยู่ที่ร้อยละ 1.5 (จากเดิมที่คาดร้อยละ 1.8%) ในปี 2554 และร้อยละ 2.1 (จากเดิมที่คาดร้อยละ 2.5) ในปี 2555 ส่งผลให้ตลาดการเงินคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอังกฤษอาจจจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ต่อเนื่องอย่างน้อยจนถึงสิ้นปี 2554

อัตราแลกเปลี่ยน

วิกฤติหนี้ในยุโรปและสหรัฐ ทำให้นักลงทุนย้ายเงินจาก ? และ$ เข้าซื้อ ? (ที่ถูกมองว่าเป็น Safe Haven Currency) ส่งผลให้ ? แข็งขึ้นเทียบกับ ? และ$ แต่อ่อนลงเทียบกับ ?

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ค่าเงินค่อนข้างผันผวนเนื่องจากวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปที่เริ่มส่งผลลุกลามจากประเทศกรีซ โปรตุเกส ไอร์แลนด์ เข้าสู่สเปนและอิตาลี ขณะที่วิกฤติหนี้สาธารณะในสหรัฐได้เริ่มส่งผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรสหรัฐต่ากว่าระดับสูงสุด AAA ทาให้นักลงทุนแห่ถอนเงินจากสินทรัพย์ในสกุลยูโร (?) และสินทรัพย์ในสกุลดอลลาร์สหรัฐ ($) เข้าซื้อสินทรัพย์ที่ถือว่ามีความปลอดภัย (Safe Haven Assets) เช่น ทองคา และสินทรัพย์ในสกุลเยน (?) ส่งผลให้ค่าเงินยูโรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง และค่าเงินเยน จึงแข็งค่าขึ้น

สำหรับค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจึงแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นจากช่วงต้นเดือนกรกฏาคม 2554 ที่อยู่ที่ระดับ 1.105 ?/? มาอยู่ที่ 1.145 ?/? ในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม (แข็งค่าขึ้น 3.53%) ขณะที่ค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่อยู่ที่ระดับ 1.61 $/? มาอยู่ที่ 1.627 $/? ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม (แข็งค่าขึ้น 1.17%) ในทางตรงข้ามค่าเงินปอนด่จึงอ่อนลงเมื่อเทียบกับค่าเงินเยน จากระดับ 130 ?/? ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มาอยู่ที่ 125.58 ?/? ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2554 (อ่อนค่าลง -3.36%)

นโยบายการคลังและฐานะการคลัง

ในเดือนก.ค.54 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณลดลงจากนโยบายตัดรายจ่ายภาครัฐขณะที่หนี้สาธาณะต่อ GDP ยังคงทรงตัวในระดับสูงที่ 61.4%

ยอดดุลงบประมาณในเดือนกรกฎาคม 2554 รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพียง 20 ล้านปอนด์ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุลถึง 3.5 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้ยอดการขาดดุลงบประมาณสะสมสุทธิ ในปีงบประมาณ 2010 (สิ้นสุด ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2554) (Cumulative public sector net borrowing) ขาดดุลอยู่ที่ 40.1 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการขาดดุลสะสมที่ต่ากว่ายอดกู้เงินสะสมในช่วงเดียวกันของปีงบประมาณก่อนที่อยู่ที่ 43.1 พันล้านปอนด์ สาเหตุที่รัฐบาลขาดดุลงบประมาณลดลงมากมาจากนโยบายการตัดงบประมาณรายจ่ายรัฐบาล และการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 17.5 ในปีก่อน มาอยู่ที่ร้อยละ 20 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2554 ดังนั้น สานักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจาสหราชอาณาจักรและยุโรป จึงคาดว่ายอดขาดดุลสะสมสุทธิในปีงบประมาณ 2011-2012 นี้ น่าจะสามารถลดลงได้ตามที่กระทรวงการคลังของสหราชอาณาจักรตั้งเป้าไว้ที่ 122 พันล้านปอนด์ ซึ่งเป็นการลดการขาดดุลการคลังของรัฐบาลลงจากปีงบประมาณก่อนที่ขาดดุลสะสมสุทธิอยู่ที่ 142.7 พันล้านปอนด์

สำหรับยอดหนี้สาธารณะสุทธิ (ที่ไม่รวมมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน) ณ สิ้นเดือนกรกฏาคม 2554 ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 940.1 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 61.4 ของ GDP ซึ่งสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 805.5 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 55.2 ของ GDP

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ