รายงานสรุปสภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ - สิงหาคม 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Monday September 12, 2011 10:32 —กระทรวงการคลัง

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่อัตราร้อยละ 1.0 โดยได้รับปัจจัยทางบวกจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่เพื่อการอยู่อาศัย การส่งออก การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล และการใช้จ่ายภาครัฐส่วนกลางที่เพิ่มขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • ดัชนีทางการผลิตปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 0.9 เช่นเดียวกับอัตราการใช้กาลังการผลิตที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือนกรกฎาคม 2554
  • ยอดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอุปโภคส่วนบุคคล (PCE) ปรับลดลงเล็กน้อยในอัตราคงที่ต่ากว่าร้อยละ 0.1 ในขณะที่ยอดรายได้ส่วนบุคคลสุทธิ (DPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือนมิถุนายน 2554
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) อยู่ในระดับคงที่ที่การขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี ในขณะที่ดัชนีที่ไม่รวมสินค้าอาหารและน้ามัน (Core-CPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 มาอยู่ที่ระดับ 1.8 ต่อปี
  • อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม 2554 ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.1 โดยมีประชากรได้รับการจ้างงานที่ไม่ใช่เกษตรกรรม (Nonfarm payroll) เพิ่มขึ้น 117,000 คน
  • สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ระดับ 53.1 ล้านเหรียญ สรอ.
  • ในเดือนสิงหาคม 2554 ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินสกุลปอนด์ เงินเยน และเงินหยวน โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ร้อยละ 1.5 ในขณะที่มีค่าคงตัวเมื่อเทียบกับเงินยูโร
ภาคการเงินและภาคการคลัง
  • สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Budget Control Act of 2011 เพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ (US Public Debt) จานวน 2.1-2.4 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ก่อนที่ปริมาณหนี้ดังกล่าวจะขยายตัวเกินกว่าเพดานเดิมตามกาหนดวันที่ 2 สิงหาคม 2554 เพียงวันเดียว
  • ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 0.0-0.25 ไปจนถึงกลางปี 2556 ซึ่งนับเป็นการระบุเวลาของการตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเป็นครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ
  • Standard & Poor's ได้ปรับลดเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับเครดิตสูงสุด ลดลงมาหนึ่งระดับ โดย

เป็นผลมาจากปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวและความขัดแย้งทางการเมืองของสหรัฐฯ

ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ปี 2554

เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.0

  • มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ขยายตัวด้วยอัตรา ร้อยละ 1.0 เปรียบเทียบกับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2554 และ 4 ของปี 2553 ที่ร้อยละ 0.4 และ 2.3 ตามลาดับ ซึ่งปัจจัยบวกที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2554 ประกอบไปด้วย (1) ปริมาณการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัย (Non-residential fixed Investment) ที่ขยายตัวร้อยละ 9.9 (2) ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการที่ขยายตัวร้อยละ 3.1 (3) ปริมาณการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลขยายตัวร้อยละ 0.4 (4) ปริมาณการใช้จ่ายภาครัฐส่วนกลาง (Federal Government Consumption Expenditures) ที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0
เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2554

  • ในเดือนกรกฎาคม 2554 ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากเดือนก่อน หลังจากที่ปรับลดลงร้อยละ 0.4 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งส่งผลให้ เช่นเดียวกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 หลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือนก่อนหน้า
  • อัตราการใช้กาลังการผลิต (Capacity Utilization) ของสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 77.5 ของกาลังการผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งต่ากว่าอัตราเฉลี่ยของการใช้กาลังการผลิตในระหว่างปี 2515-2553 อยู่ร้อยละ 2.9 (ค่าเฉลี่ยของปี 2515-2553 คิดเป็นร้อยละ 80.4)
เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

การใช้จ่ายของประชากรสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ระดับราคาปรับตัวสูงขึ้นหลังจาก ที่ปรับลดลงในเดือนก่อน

  • ในเดือนมิถุนายน 2554 ภาพรวมด้านการใช้จ่ายของประชากรสหรัฐฯ ชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยยอดการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคอุปโภคที่แท้จริง (Real-PCE) ในเดือนมิถุนายนปรับลดลงในอัตราต่ากว่าร้อยละ 0.1 ในขณะที่ภาพรวมด้านรายได้ของประชากรสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดือนก่อน โดยรายได้ส่วนบุคคลที่สามารถนาไปใช้ได้จริง (Real-DPI) ที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.3 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในเดือนมิถุนายนที่ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี
  • ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ในเดือนกรกฎาคม 2554 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภค อยู่ที่ระดับการขยายตัวร้อยละ 3.6 ต่อปี ในขณะที่ดัชนีราคาที่ไม่รวมสินค้าอาหารและน้ามัน (CoreCPI) ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อน มาอยู่ที่ระดับการขยายตัวร้อยละ 1.8 ต่อปี
เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

อัตราการว่างงานปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 9.1

  • อัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน 2554 ปรับลดลงร้อยละ 0.1 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 9.1 โดยสหรัฐฯ มีประชากรที่อยู่ในวัยทางาน (Labor force) ทั้งหมด 153.2 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 63.9 ของประชากรทั้งหมด ในขณะที่สหรัฐฯ มีจานวนประชากรได้รับจ้างงานลดลงจานวน 38,000 คน มาอยู่ที่ระดับ 139.3 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 58.1 ของประชากรทั้งหมด ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีประชากรว่างงานทั้งหมด 13.9 ล้านคน
  • ในช่วงเดือนที่ผ่านมา การจ้างงานที่ไม่ใช่เกษตรกรรม (Nonfarm payroll) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจานวน 117,000 งาน โดยมาจากการขยายตัวของการจ้างงานด้านสาธารณสุข การค้าปลีก อุตสาหกรรม และการทาเหมืองแร่ ในขณะที่การจ้างงานของหน่วยงานรัฐบาลยังคงปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
  • มลรัฐที่มีอัตราการว่างงานสูงสุดในสหรัฐฯ ได้แก่ รัฐเนวาดา (ร้อยละ 12.9) รัฐแคลิฟอร์เนีย (ร้อยละ 12.0) รัฐเซาท์แคโรไลนาและรัฐมิชิแกน (ร้อยละ 10.9) ตามลาดับ
เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจต่างประเทศ

สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 53.1 พันล้านเหรียญ สรอ. ในเดือนมิถุนายน

  • ในเดือนมิถุนายน 2554 สหรัฐฯ ยังคงขาดดุลการค้าระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการขาดดุลได้ปรับเพิ่มขึ้น 2.3 พันล้านเหรียญ สรอ. หรือร้อยละ 4.5 จากเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 50.3 พันล้านเหรียญ สรอ. มาอยู่ที่ระดับ 53.1 พันล้านเหรียญสรอ. สืบเนื่องจากมูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ (Export) ที่ชะลอตัวในอัตราที่สูงกว่าการชะลอตัวของมูลค่าการนาเข้าสินค้าและบริการ (Import) ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
  • มูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการปรับลดลง 4.1 พันล้านเหรียญ สรอ.มาอยู่ที่ 170.9 พันล้านเหรียญ สรอ.ในขณะที่มูลค่าการนาเข้าสินค้าและบริการปรับลดลง 1.9 พันล้านเหรียญ สรอ. มาอยู่ที่ 223.9 พันล้านเหรียญ สรอ.ในเดือนมิถุนายน
  • ทั้งนี้ ประเทศคู่ค้า 3 ประเทศหลักที่สหรัฐฯ ประสบภาวะขาดดุลการค้าในด้านสินค้าและผลิตภัณฑ์ (ไม่รวมมูลค่าการบริการ) ได้แก่ จีน สหภาพยุโรป และเม็กซิโก โดยในเดือนมิถุนายน 2554 มูลค่าการขาดดุลกับจีน สหภาพยุโรปและเม็กซิโกปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า
นโยบายทางการคลังและฐานะการคลัง

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมาย Budget Control Act of 2011 เพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะ

สหรัฐฯ ได้ผ่านกฎหมาย Budget Control Act of 2011 เพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะสหรัฐฯ จานวน 2.1-2.4 ล้านล้านเหรียญ สรอ. มาอยู่ที่ระดับ 16.4-16.7 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ก่อนที่ปริมาณหนี้สาธารณะสหรัฐฯ จะขยายตัวเกินกว่าวงเงินเพดานที่กาหนดไว้ในวันที่ 2 สิงหาคม 2554 โดยกฎหมายดังกล่าวมีรายละเอียดดังนี้

  • การปรับเพิ่มดังกล่าวจะดาเนินการเป็น 3 ครั้ง คือ (1) ปรับเพิ่มทันทีจานวน 400 พันล้านเหรียญ สรอ. (2) ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน 2554 จานวน 500 พันล้านเหรียญ สรอ. และ (3) ปรับขึ้นเพิ่มเติมในปี 2555 จานวน 1.2-1.5 ล้านล้านเหรียญ สรอ.
  • การปรับเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของกฎหมายฉบับดังกล่าวมาควบคู่กับแผนการรับมือหนี้สาธารณะในระยะยาวซึ่งแบ่งเป็นการปรับลดปริมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นจานวน 917 พันล้านเหรียญ สรอ. ภายในระยะเวลา 10 ปี ในส่วนของงบประมาณการใช้จ่ายภายในประเทศ (Domestic Discretionary Spending) ของสหรัฐฯ และการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ Joint Select Committee on Deficit Reduction เพื่อเสนอแผนการปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มเติมเป็นจานวน 1.5 ล้านล้านเหรียญ สรอ. ภายในปลายปี 2554
  • หากคณะกรรมาธิการดังกล่าวไม่สามารถเสนอแผนการปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มเติม หรือ รัฐสภาสหรัฐฯ ไม่เห็นชอบด้วยกับแผนที่คณะกรรมาธิการเสนอภายในระยะเวลาที่กาหนด จะมีการปรับลดปริมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลโดยอัตโนมัติจานวน 1.2 ล้านล้านเหรียญ สรอ. จากงบประมาณการใช้จ่ายระหว่างปี 2556-2564
  • กฎหมายดังกล่าวไม่มีนโยบายการปรับเพิ่มภาษีรายได้เป็นส่วนของแผนการปรับลดหนี้สาธารณะในระยะยาว
นโยบายทางการเงินและอัตราดอกเบี้ย

ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศตรึงดอกเบี้ยนโยบายในระดับร้อย 0.0-0.25 ไปจนถึงกลางปี 2556

  • ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Open Market Committee: FOMC) ในปลายเดือนสิงหาคม 2554 คณะกรรมการ FOMC มีมติให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระหว่างร้อยละ 0 และร้อยละ 0.25 เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและสร้างเสถียรภาพทางราคา ไปจนถึงกลางปี 2556 เป็นอย่างน้อย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวนับเป็นการระบุระยะเวลาเป็นครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐฯ
  • ทั้งนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงดาเนินมาตรการซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มเติมจากเงินต้นทุนที่ได้รับคืนจากตราสารหนี้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ถืออยู่ หลังจากที่มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณครั้งที่ 2 (2 nd Quantitative Easing: QE2) สิ้นสุดลง อีกทั้ง มติของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในครั้งนี้ได้มีกล่าวถึงความเป็นไปได้ของการใช้มาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้มีการระบุรายละเอียดของมาตรการดังกล่าว
ประเด็นทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่สำคัญ

Standard & Poor's ปรับลดเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ

  • สถาบันจัดอันดับเครดิต Standard & Poor's (S&P's) ได้ปรับลดเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับเครดิตสูงสุด (AAA) ลดลงมาหนึ่งระดับ (AA+) โดยสถาบันจัดอันดับเครดิตดังกล่าวให้ความเห็นถึงสาเหตุของการปรับลดเครดิตพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าเป็นผลมาจากแนวทางรับมือปัญหาหนี้สาธารณะในระยะยาวของสหรัฐฯ ตลอดจนความขัดแย้งทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการออกนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยพรรครีพับริกันที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรต้องการให้มุ่งเน้นการตัดงบประมาณการใช้จ่ายเป็นหลัก ในขณะที่พรรคเดโมเครตที่มีเสียงข้างมากในวุฒิสภาต้องการให้มีการปรับเพิ่มภาษีรายได้ควบคู่กันไป
  • ทั้งนี้ การปรับลดระดับเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดังกล่าว จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อรัฐบาลสหรัฐฯ และรัฐบาลและเอกชนจากต่างประเทศผู้ที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบจากการปรับตัวสูงขึ้นของระดับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อีกทั้ง การปรับลดเครดิตดังกล่าวจะส่งผลทางอ้อมต่อการปรับตัวสูงขึ้นของระดับอัตราดอกเบี้ยโดยรวมในตลาดสินเชื่อการเงินสหรัฐฯ และในระดับโลก ที่โดยปกติใช้ระดับเครดิตของรัฐบาลเป็นบรรทัดฐานของการกู้เงินแบบปลอดความเสี่ยง
  • ทั้งนี้ S&P's ได้ออกมากล่าวเตือนว่า จะจับตามองสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิดในระยะ 6-24 เดือนข้างหน้า และหากมีแนวโน้มว่าสถานการณ์แย่ลง S&P's ก็อาจปรับลดเครดิตของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ลงอีกระดับหนึ่ง
อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา

ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินปอนด์ เงินเยน และเงินหยวน

  • ภาพรวมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในเดือนสิงหาคม 2554 เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าคงที่เมื่อเทียบกับเงินยูโร ในขณะที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ อย่างเงินปอนด์ เงินเยน และเงินหยวน โดยในช่วงดังกล่าวเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับเงินเยน ซึ่งลดลงประมาณร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2554 ทั้งนี้ อัตราการแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ 1.4358 USD/EUR, 1.6462 USD/GBP, 0.0130 USD/JPY, และ 0.1561 USD/CNY
  • เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อเทียบกับเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในเดือนสิงหาคม โดยค่าเงินดอลลาร์ ณ วันที่ 24 สิงหาคม 2554 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 29.8998 THB/USD เพิ่มขึ้นจาก 29.7912 THB/USD เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2554

Economic Stability Analysis Division | Macroeconomic Policy Bureau

Dr. Soraphol Tulayasathien, CFA, FRM, Dr. Sirikamon Udompol,

Sasin Pringpong and Archana Pankanchanophas

Tel. (02) 273 9020 Ext. 3254 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ