ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร
บทสรุปผู้บริหาร
- วันที่ 5 ต.ค.54 สำนักงานสถิติ U.K ประกาศปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ U.K. ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2554 เหลือ 0.1%QoQ ลดลงจากเดิมที่ประกาศ 0.2%QoQ และปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหลือร้อยละ 0.6%YoY จากเดิมที่ประกาศร้อยละ 0.7%YoY
- การปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจดังกล่าวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ U.K.ที่อ่อนแอ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สำนักงานสถิติฯได้รับเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจ U.K.ในไตรมาส 2 ชะลอตัวจากไตรมาสแรกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม(Production) ของสหราชอาณาจักรในไตรมาส 2 ที่หดตัวมากถึง -1.2%QoQ และการการผลิตภาคบริการ(Service) ที่ขยายตัวในอัตราชะลอลงเหลือ 0.2 %QoQ
- นอกจากนั้น การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 63 ของ GDP หดตัวรุนแรงมากในไตรมาส 2 ที่ -0.8%QoQ เนื่องจากค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นและการว่างงานที่สูงขึ้น ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ U.K.ได้ดีในช่วง 4 ไตรมาสก่อนหน้า ได้กลับมาหดตัวถึง -1.3%QoQ ในไตรมาส 2 เช่นกัน
- เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 3 บ่งชี้ เศรษฐกิจ UK ยังคงเติบโตอย่างเปราะบาง โดยดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 50 สะท้อนการผลิตอุตสาหกรรมที่ไม่มีการขยายตัว ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการเริ่มขยายตัวในอัตราชะลอลงในไตรมาส 3
- เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ ของ UK ล่าสุดปรับตัวแย่ลง ทั้งจากอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟอที่คำนวณจาก CPI ในเดือนส.ค. สูงขึ้นมาอยู่ที่ 4.5% จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 4.4% ขณะที่อัตราการว่างงานในรอบ 3 เดือนถึงเดือน ก.ค.สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.9 ของกำลังแรงงาน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.3 จากช่วงรอบ 3 เดือนก่อนหน้า
- เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 54 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเพิ่มมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Quantitative Easing: QE) อีกจำนวน 75 พันล้านปอนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรมากขึ้น
- สำนักงานสถิติฯ ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ UK ไตรมาส 2 เหลือแค่ 0.1%
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2554 สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรได้ประกาศปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (U.K) ไตรมาส 2 ปี 2554 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก เหลือแค่ 0.1%QoQ จากเดิม 0.2 %QoQ และปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไตรมาส 2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเหลือร้อยละ 0.6%YoY จากเดิมที่ประกาศร้อยละ 0.7%YoY
การปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจดังกล่าวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจ U.K ไตรมาส 2 ที่อ่อนแอมาก เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่สำนักงานสถิติฯได้รับเพิ่มเติม บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจ U.K.ไตรมาส 2 ชะลอตัวจากไตรมาสแรกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อพิจารณารายละเอียดการขยายตัวเศรษฐกิจในด้านการผลิต (Supply Side) จะเห็นได้ว่า การผลิตภาคเกษตร (Agriculture) และการผลิตภาคอุตสาหกรรม(Production) ของสหราชอาณาจักรในไตรมาส 2 หดตัวถึง -0.9 %QoQ และ-1.2%QoQ ตามลำดับ ขณะที่การผลิตภาคบริการ (Service) ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 76 ของ GDP ก็ขยายตัวในอัตราชะลอลงเหลือ 0.2 %QoQ อย่างไรก็ดี การผลิตภาคก่อสร้าง (Construction) ขยายตัวดีขึ้นในไตรมาส 2 ที่ 1.1%QoQ เนื่องจากการก่อสร้างที่เร่งตัวขึ้นจากไตรมาสแรกที่ภาคก่อสร้างได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติ
สำหรับรายละเอียดของการขยายตัวเศรษฐกิจภาคบริการ (Demand Side) ของเศรษฐกิจ U.K ในไตรมาส 2 พบว่าการบริโภคภาคเอกชน ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 63 ของ GDP หดตัวรุนแรงมากขึ้นที่ -0.8%QoQ เนื่องจากค่าครองชีพของประชาชนที่ปรับตัวสูงขึ้นและการว่างงานที่สูงขึ้นในไตรมาส 2 ส่งผลให้รายได้ภาคเอกชนที่แท้จริงลดลง ขณะที่การส่งออกสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ U.K.ได้ดีในช่วง 4 ไตรมาสก่อนหน้า ได้กลับมาหดตัวถึง -1.3%QoQ ในไตรมาส 2 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกและปัจจัยพิเศษของแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นทีส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อฐานการผลิตเพื่อส่งออกของ U.K.
- เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 3 จากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการปรับลดลงต่อเนื่อง สะท้อนเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรที่เปราะบางมากขึ้น
เครื่องชี้เศรษฐกิจจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Purchasing Managers' Index: PMI) ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจการผลิตภาคอุตสาหกรรมของ U.K ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง จากที่เคยปรับตัวสูงขึ้นสูงสุดอยู่ที่เฉลี่ย 59.4 จุดในไตรมาส 1 ของปี 2554 ลดลงมาอยู่ที่เฉลี่ย 52.7 จุดในไตรมาส 2 และลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่เฉลี่ย 50 จุด ในไตรมาส 3 ซึ่งการที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 50 จุด เป็นการสะท้อนถึงการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว ทั้งนี้ สาเหตุที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมไม่มีการขยายตัวในไตรมาสที่ 3 มาจากยอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศที่ชะลอตัวตามการใช้จ่ายภายในประเทศที่ลดลง และยอดคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจากต่างประเทศที่เคยเติบโตได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ได้กลับมาลดลงตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
สำหรับดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคบริการ (Services Purchasing Managers' Index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้การผลิตภาคบริการที่มีสัดส่วนสูงสุดในระบบเศรษฐกิจ ได้ปรับลดลงจากช่วงต้นปีเช่นกันมาอยู่ที่ระดับเฉลี่ย 53.1 ในไตรมาส 3 ซึ่งแม้ว่าดัชนีดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับ 50 จุด (ที่สะท้อนระดับที่การผลิตไม่ขยายตัว) แต่ทิศทางการปรับตัวลดลงของดัชนี Services PMI อย่างต่อเนื่อง เป็นการบ่งชี้ถึงการผลิตภาคบริการของสหราชอาณาจักรที่ยังคงเปราะบาง
- เสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศล่าสุดอ่อนแอจากอัตราเงินเฟอในเดือนก.ค.ที่ปรับตัวสูงขึ้น และอัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจที่วัดจากอัตราเงินเฟอล่าสุดปรับตัวแย่ลง โดยอัตราเงินเฟอทั่วไปที่คำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป(Consumer Price Index: CPI) ประจำเดือนสิงหาคม 2554 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี ขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคาสินค้าขายปลีก (Retail Price Index:RPI) ซึ่งสะท้อนค่าครองชีพของผู้บริโภครายย่อยจะพบว่า อัตราเงินเฟ้อ RPI ในเดือนสิงหาคม 2554 ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกันมาอยู่ที่ร้อยละ 5.2 ต่อปี เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของสหราชอาณาจักรปรับตัวสูงขึ้นในเดือนสิงหาคม มาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราคาเสื้อผ้าและรองเท้า และการเพิ่มขึ้นของค่าสาธารณูปโภค โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าและค่าแก๊ซที่เริ่มปรับราคาสูงขึ้น โดยเริ่มมีผลในเดือนสิงหาคมเป็นเดือนแรก
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจที่วัดจากอัตราการจ้างงานในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2554 (พฤษภาคม - กรกฎาคม 2554) พบว่าอัตราการมีงานทำ (Employment Rate) ได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 70.5 ของกำลังแรงงาน ลดลงจากร้อยละ 70.7 ของกำลังแรงงานในช่วง 3 เดือนก่อนหน้า โดยมีจำนวนผู้มีงานทำที่อายุระหว่าง 16-64 ปี (Employment Level) ทั้งสิ้น 29.17 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนผู้มีงานทำลดลงจากเมื่อ 3 เดือนก่อนหน้าถึง 69,000 คน โดยเป็นการลดลงของจำนวนผู้มีงานทำในภาคราชการ (Public sector employment) ที่ถูกปรับออกจากงานถึง 111,000 คน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการตัดลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ ขณะที่มีจำนวนผู้มีงานทำในภาคเอกชน (Private sector employment) เพิ่มขึ้น 42,000 คน
อัตราการจ้างงานที่ลดลงดังกล่าว สอดคล้องกับอัตราการว่างงานในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2554 (พฤษภาคม - กรกฎาคม 2554) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.9 ของกำลังแรงงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากอัตราการว่างงานในรอบ 3 เดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ร้อยละ 7.6 ของกำลังแรงงาน โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 2.51 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 3 เดือนก่อนหน้าถึง 80,000 คน และ
เป็นระดับจำนวนผู้ว่างงานที่สูงขึ้นใกล้เคียงกับระดับการว่างงานสูงที่สุดในช่วงเศรษฐกิจถดถอยในปี 2552 ที่อยู่ที่ 2.511 ล้านคน และเมื่อพิจารณาจำนวนผู้ว่างงานส่วนใหญ่ พบว่าเป็นผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานที่มีอายุน้อยในช่วง 16-24 ปี ซึ่งคิดเป็นอัตราการว่างงานถึงร้อยละ 20.8 ของกำลังแรงงานในอายุระดับเดียวกัน
- คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติอัดฉีดเงินผ่านQuantitative Easing อีก 75 พันล้านปอนด์และคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.5 เป็นเดือนที่ 41 ติดต่อกัน
ในวันที่ 6 ตุลาคม 2554 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ มีมติให้คงนโยบายอัตราดอกเบี้ย Bank rate ไว้ตามเดิมในอัตราร้อยละ 0.50 แต่ได้ให้เพิ่มมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Quantitative Easing: QE) อีกจำนวน 75 พันล้านปอนด์ จากเดิมที่อนุมัติให้รับซื้อตราสารหนี้จำนวน 200 พันล้านปอนด์ รวมเป็นมาตรการ QE ทั้งสิ้น 275 พันล้านปอนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรที่กำลังเผชิญความเสี่ยงจากการชะลอตัวเศรษฐกิจมากขึ้น
แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาอัตราการเงินเฟอของสหราชอาณาจักรจะสูงกว่าเปาหมายอัตราเงินเฟอที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ไม่ให้เกินร้อยละ 2 ต่อปี แต่คณะกรรรมการนโยบายการเงินมีความเห็นว่าอัตราเงินเฟอของสหราชอาณาจักรในระยะปานกลางน่าจะอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2 ขณะที่ความเสี่ยงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรมีมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความเสี่ยงจากวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นและการตัดลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐ และความเสี่ยงจากการชะลอการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินให้แก่ภาคธุรกิจในช่วงที่สภาพคล่องตึงตัว ดังนั้น คณะกรรมการนโยยายการเงินจึงเห็นควรให้เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการรับซื้อตราสารหนี้ Quantitative Easing เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในสหราชอาณาจักร
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th