ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป พฤศจิกายน 2554

ข่าวเศรษฐกิจ Friday December 2, 2011 10:44 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 3 ของปี 2554 (ข้อมูลเบื้องต้น) ขยายตัวได้ต่อเนื่องเท่ากับไตรมาสก่อนหน้าที่ 0.2% (QoQ) เนื่องจากเศรษฐกิจเยอรมนีและฝรั่งเศส (ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และ อันดับ 2 ในเขตยูโรโซน) ยังเติบโตได้ดีที่ 0.5% และ 0.4% (QoQ)
  • แม้ว่าภาพรวมของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจยูโรโซนจะเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลการขยายตัวเศรษฐกิจรายประเทศ พบว่า เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในเขตยูโรโซน (นอกเหนือจากเยอรมนีและฝรั่งเศส) กลับหดตัวลงหรือไม่มีการขยายตัวในไตรมาส 3 โดยเฉพาะเศรษฐกิจ Core Economies ที่เคยเติบโตแข็งแกร่ง เช่น เนเธอร์แลนด์ ได้หดตัวเป็นครั้งแรกที่ -0.3% หรือ เบลเยียมที่ไม่มีการขยายตัวในไตรมาส 3
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2554 ซึ่งวัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวม (PMI) ในเดือน ต.ค.54 บ่งชี้ เศรษฐกิจเขตยูโรโซนมีแนวโน้มหดตัว -0.5% ในไตรมาส 4 โดยดัชนี PMI ของเกือบทุกประเทศในยูโรโซน ปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 จุด (ซึ่งเป็นระดับสะท้อนการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว) ยกเว้นเพียงเยอรมนีที่ยังขยายตัวได้ในอัตราชะลอลง และไอร์แลนด์ที่ขยายตัวดีขึ้นจากการส่งออกซึ่งได้อานิสงค์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่ดีกว่าคาด
  • สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่า วิกฤติหนี้ฯ ในยุโรปกาลังแพร่กระจายจากประเทศรอยขอบ(Periphery) มาส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศหลัก(Core)ในวงกว้าง ซึ่งอาจส่งผลทางลบต่อไทยผ่านช่องทางการค้ากับยุโรปและความผันผวนทางการเงินที่รุนแรงขึ้น
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • อัตราการว่างงานในเขตยูโรโซน เดือนก.ย.54 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่10.2% ของกาลังแรงงาน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 15 เดือน ขณะที่อัตราเงินเฟอเขตยูโรโซนในเดือน ต.ค.54 ทรงตัวที่ 3% ต่อปี สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางยุโรปที่ 2 % เป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน
ภาคการเงินและการคลัง
  • แม้อัตราเงินเฟอสูงกว่าเปา แต่ ECB ลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่1.25% ในเดือนพ.ย.เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัว นอกจากนี้ ที่ประชุมผู้นายุโรปได้ข้อสรุปมาตรการแก้ไขวิกฤติ 3 ข้อ:1)ตัดหนี้สูญกรีซ50% 2)ให้ธนาคารเพิ่มทุนไม่ต่ากว่า 9%ของTier1Capital 3)เพิ่มขนาดกองทุน EFSF แต่ตลาดเงินยังผันผวนมากจากปญหาการเมืองในกรีซและอิตาลี
ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 3/2554
  • เศรษฐกิจยูโรโซนไตรมาส 3 (ข้อมูลเบื้องต้น) ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องที่ 0.2%QoQ เนื่องจากเยอรมันและฝรั่งเศสซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และ 2 ยังเติบโตได้ดี

วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 สานักงานสถิติ Euro Stat ประกาศข้อมูลเบื้องต้นอัตราขยายตัวเศรษฐกิจเขตยูโร 17 ประเทศ (Euro area: EA17) ในไตรมาส 3 ปี 2554 ที่ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องเท่ากับไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 0.2 (quarter on quarter: %QoQ) แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (year on year: %yoy) เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนขยายตัวในอัตราชะลอตัวลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 1.4 ต่อปี (%YoY) ลดลงจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 1.6 (%YoY)

เมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นรายประเทศ (ดูตารางที่ 1) พบว่า สาเหตุที่เศรษฐกิจในเขตยูโรโซนยังคงเติบโตได้ต่อเนื่องมาจากเศรษฐกิจประเทศหลักขนาดใหญ่เพียง 2 ประเทศ คือ เศรษฐกิจเยอรมนี (ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดที่ร้อยละ 27 ของเศรษฐกิจยูโร) ยังขยายตัวได้ดีในไตรมาส 3 ที่ 0.5 %QoQ เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ขยายตัว 0.3 %QoQ และ เศรษฐกิจฝรั่งเศส (ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ที่ร้อยละ 21 ของเศรษฐกิจยูโร) ได้กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในไตรมาส 3 ที่ 0.4 %QoQ หลังจากที่หดตัว -0.1%.ในไตรมาสก่อนหน้า

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในเขตยูโรโซน กลับขยายตัวในอัตราชะลอลงหรือหดตัวในไตรมาสที่ 3 ของปี 2554 ดังจะเห็นได้จาก เศรษฐกิจของประเทศในเขตใจกลางยูโรโซนที่เคยเติบโตอย่างแข็งแกร่ง (Core Economies) เช่น เศรษฐกิจเนเธอร์แลนด์ ที่หดตัวเป็นครั้งแรกที่ -0.3%QoQ ในไตรมาส 3 ขณะที่เศรษฐกิจเบลเยี่ยมไม่มีการขยายตัว และเศรษฐกิจออสเตรียขยายตัวในอัตราชะลอลงที่ 0.3%QoQ นอกจากนั้น เศรษฐกิจขนาดเล็กในเขตยูโรโซนที่เคยเติบโตได้ดีมาก เช่น ฟินแลนด์ สโลวาเกีย และเอสตัวเนีย ได้ขยายตัวในอัตราชะลอลงถ้วนหน้าในไตรมาส 3 ของปี 2554

สำหรับเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในเขตรอยขอบยูโรโซน (Periphery) ซึ่งกาลังประสบปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ โดยเฉพาะโปรตุเกส ได้ประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ของปี 2554 หดตัวที่ -0.4%QoQ ซึ่งเป็นการหดตัว 4 ไตรมาสติดต่อกัน ขณะที่เศรษฐกิจสเปน (ซึ่งมีขนาดของระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ที่ร้อยละ 11 ของเศรษฐกิจในเขตยูโรโซน) ก็ไม่มีการขยายตัว (0% QoQ) ในไตรมาสที่ 3 (หมายเหตุประเทศรอยขอบของยูโรโซนที่กาลังประสับปญหาหนี้สาธารณะอีก 3 ประเทศ ได้แก่ กรีซ ไอร์แลนด์ และอิตาลี ยังไม่ได้ประกาศตัวเลขอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาส 3)

สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ประจาสหราชอาณาจักรและยุโรป วิเคราะห์ว่า แม้ว่าภาพรวมของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจยูโรโซนยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่เมื่อพิจารณาข้อมูลรายละเอียดของการขยายตัวของเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่ชะลอตัวลง (ยกเว้นเยอรมนีและฝรั่งเศส) อาจสะท้อนถึงวิกฤติหนี้สาธารณะที่เริ่มแพร่กระจายจากประเทศรอยขอบ Periphery มาส่งผลกระทบทางลบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ในเขตยูโรโซน ซึ่งมีสัดส่วนการค้าขายระหว่างกันและการเชื่อมโยงทางการเงินภายในภูมิภาคค่อนข้างมาก และในที่สุดอาจส่งผลต่อไทยผ่านช่องทางการค้ากับยุโรปและความผันผวนทางการเงินที่รุนแรงขึ้น

เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 4 ของปี 2554
  • เครื่องชี้เศรษฐกิจในเดือนตุลาคม จากดัชนี Composite PMI ของเขตยูโรโซน ชี้เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 มีโอกาสหดตัวจากไตรมาส 3

เครื่องชี้เศรษฐกิจของเศรษฐกิจในเขตยูโรโซน ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคการผลิต (Markit Composite Purchasing Managers' Index: PMI) ในเดือนตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นเดือนแรกของไตรมาส 4 บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 ของปี 2554 มีแนวโน้มหดตัวจากไตรมาส 3 ดังจะเห็นได้จากรูปด้านบนซ้ายที่ดัชนี PMI ปรับลดลงต่อเนื่องจาก 49.1 จุด ในเดือนกันยายน มาอยู่ที่ระดับ 46.5 จุดในเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นระดับดัชนีที่ต่าที่สุดในรอบ 28 เดือน และเป็นการปรับตัวลดต่ากว่าระดับ 50 จุด (อันเป็นระดับที่สะท้อนถึงการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว) เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ดังนั้น หากเครื่องชี้เศรษฐกิจ PMIในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมไม่ปรับตัวดีขึ้น ดัชนี PMI ในเดือนตุลาคมดังกล่าว สามารถใช้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจ (GDP) ยูโรโซนในไตรมาส 4 อาจจะหดตัวจากไตรมาส 3 ได้ถึง -0.5% (%QoQ)

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อเป็นรายประเทศ จะเห็นได้ว่า ดัชนี PMI ของประเทศเกือบทั้งหมดในเขตยูโรโซน (ยกเว้นเยอรมนีและไอร์แลนด์) ได้ปรับตัวลดลงต่ากว่าระดับ 50 จุด ในเดือนตุลาคม 2554 โดยเฉพาะดัชนี PMI ของฝรั่งเศส ที่ได้ปรับตัวต่ากว่า 50 จุดเป็นครั้งแรกมาอยู่ที่ 45.6 จุด เช่นเดียวกับดัชนี PMI ของอิตาลีและสเปน ที่ลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 43.1 และ 41.7 จุด ตามลาดับ สะท้อนถึงเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 3 และ 4ในยุโรปที่มีแนวโน้มหดตัวลง ยกเว้นเพียงดัชนี PMI ของเยอรมนี (ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในยุโรป) ที่ยังขยายตัวอยู่ (สูงกว่าระดับ 50 จุด) แต่ขยายตัวในอัตราชะลอลงมาอยู่สูงกว่า 50 จุดเพียงเล็กน้อยที่ 50.3 จุด อนึ่ง มีเพียงดัชนี PMI ของไอร์แลนด์ที่ขยายตัวดึขึ้นมาอยู่ที่ 51.9 จุด ซึ่งนับเป็นประเทศเดียวในเขตยูโรโซนที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยได้รับปจจัยสนับสนุนมาจากการผลิตของไอร์แลนด์ที่ปรับตัวดีขึ้นตามการส่งออกที่ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของสหรัฐที่ดีกว่าที่คาด

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • อัตราการว่างงานในเดือน ก.ย.ปรับตัวสูงสุดในรอบ 15 เดือนที่ 10.2% โดยอัตราการว่างงานในประเทศยูโรโซนส่วนใหญ่ (ยกเว้นเยอรมนี)ปรับตัวสูงขึ้น

อัตราการว่างงานของประเทศในเขต Euro area 17 ประเทศ ประจาเดือนกันยายน 2554 ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 10.2 ของกาลังแรงงาน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 15 เดือน โดยจานวนผู้ว่างงานของประเทศในเขตยูโรโซนในเดือน ก.ย เพิ่มขึ้นถึง 188,000 คน ภายในเดือนเดียว สะท้อนถึงภาวะการว่างงานที่ทวีความรุนแรงขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราการว่างงานของประเทศรอยขอบยูโร (Periphery) ได้แก่ สเปน กรีซ ไอร์แลนด์ และโปรตุเกส ที่อยู่สูงมากที่ร้อยละ 22.6 ร้อยละ 17.6 ร้อยละ 14.2 และร้อยละ 12.5 ตามลาดับ ขณะที่อัตราการว่างงานในประเทศหลัก (Core) ยกเว้นเยอรมนี เริ่มปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย สะท้อนถึงปัญหาการว่างงานในประเทศรอยขอบที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้สาธารณะอาจจะเริ่มส่งผลกระทบกระจายในวงกว้างไปยังประเทศหลักที่เคยเติบโตได้ดี (รายละเอียดปรากฎตามตารางด้านล่าง)

  • เงินเฟอเขตยูโรโซนเดือน ต.ค. ทรงตัวที่ 3% สูงกว่าเป้าหมายเงินเฟอที่ 2% ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11

อัตราเงินเฟอทั่วไปที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonized Index of Consumer Prices: HICP) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร Euro Area ประจาตุลาคม 2554 ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ ร้อยละ 3 ต่อปี (%yoy) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟอที่สูงเกินกว่ากรอบเปาหมายอัตราเงินเฟอของธนาคารกลางยุโรปที่กาหนดให้อัตราเงินเฟอ(Inflation Targeting) สูงไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี เป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน สาหรับอัตราเงินเฟอฟื้นฐาน (Core Infation) ที่คานวณจากดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดอาหาร สุรา ยาสูบ และพลังงาน (HICP excluding food, alcohol, tobacco and energy) ในเดือนตุลาคม 2554 ทรงตัวเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี เช่นกัน

สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟอทั่วไปในเดือนตุลาคมทรงตัวในระดับสูง มาจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ามันในตลาดโลกในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากการที่ราคาน้ามันดิบเบรนท์ได้ปรับตัวสูงขึ้นจากระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงปลายเดือนกันยายน มาอยู่ที่ 114.5 ดอลลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงเดือนตุลาคม ส่งผลให้ราคาสินค้าในหมวดพลังงานในเขตยูโรโซนปรับตัวสูงขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเชื้อเพลิงสาหรับการขนส่ง ราคาน้ามันทาความร้อน (Heating oil) ราคาแก๊ซ ที่เพิ่มขึ้น 14.1% 24.1% และ10.1% ในเดือนตุลาคม ตามลาดับ นอกจากนั้น เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ การเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟอของเขตยูโรโซนในเดือนตุลาคมมาจากอัตราเงินเฟอของอิตาลีที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคค่อนข้างมากที่ร้อยละ 3.8 ต่อปี อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศอิตาลี(ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการลดการขาดดุลของรัฐบาลอิตาลี) จากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ 21 ที่เริ่มมีผลตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา

อัตราดอกเบี้ย
  • แม้อัตราเงินเฟอจะยังอยู่สูงกว่าเปาหมาย แต่ธนาคาร ECB ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ในเดือนพ.ย. เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มหดตัวอย่างชัดเจน

เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมา คณะกรรมการธนาคารกลางสหภาพยุโรป (European Central Bank: ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Market Refinancing Operations (MRO) ร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.5 มาอยู่ที่ร้อยละ 1.25 หลังจากที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้งในช่วงต้นปี (ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งร้อยละ 0.25 ในเดือนเมษายนและเดือนกรกฎาคม) สะท้อนถึงมุมมองต่อภาพรวมเศรษฐกิจยุโรปที่เปลี่ยนแปลงไปจากในช่วงครึ่งปีแรกที่มีความกังวลถึงปัญหาแรงกดดันเงินเฟ้อในอนาคตในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว มาสู่มุมมองในปัจจุบันที่เศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มมีแนวโน้มชะลอการขยายตัวและมีโอกาสประสบกับเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อีกครั้ง ประกอบกับแรงกดดันเงินเฟ้อในอนาคตที่ลดลง โดยธนาคารกลางสหภาพยุโรปคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 2012 จะปรับตัวลดลงต่ากว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ร้อยละ 2 ต่อปี

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวอยู่นอกเหนือความคาดหมายของตลาดการเงิน และถือเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งแรกของประธานธนาคารกลางยุโรปคนใหม่ (Mr.Mario Draghi) ส่งผลให้ตลาดการเงินยังคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรป (ภายใต้การนาของประธานธนาคารกลางคนใหม่) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนธันวาคม เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในเขตยูโรโซนมีแนวโน้มหดตัวมากขึ้นในไตรมาส 4

ประเด็นเศรษฐกิจสาคัญ ๆ ในรอบเดือนที่ผ่านมา
  • ในวันที่ 26 ตุลาคม 2554 ที่ประชุมผู้นายูโร (Euro Leader Summit) ได้ข้อสรุปมาตรการแก้ไขวิกฤติการเงินในยุโรป ใน 3 ด้านหลัก ดังนี้

(1) เพิ่มวงเงินตัดหนี้สูญ (Hair Cut) ของกรีซ เป็น 50% ผ่านโครงการเข้าร่วมของเอกชนโดยสมัครใจ Private Sector Involvement (PSI) (เพิ่มวงเงินจากเดิมในการประชุมผู้นายูโรครั้งก่อนในเดือนกรกฎาคมที่ตกลงกันให้ตัดหนี้สูญกรีซ 21%) โดยคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยลดหนี้ภาครัฐของกรีซได้ประมาณ 100 พันล้านยูโร และจะช่วยลดสัดส่วนหนี้รัฐบาลต่อ GDP จากร้อยละ 160 ในปัจจุบัน เป็นร้อยละ 120 ได้ภายในปี 2020 นอกจากนี้ ผู้นายูโรได้ตกลงเพิ่มวงเงินให้ความช่วยเหลือกรีซเป็น 130 พันล้านยูโร (จากการประชุมครั้งก่อนในเดือน ก.ค.ที่ให้วงเงินช่วยเหลือกรีซจานวน 109 พันล้านยูโรป) บนเงื่อนไขที่กรีซต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเข้มงวดทางการคลังให้ได้ตามเงื่อนไข IMF/EU

(2) ให้ธนาคารต่างๆ ในยุโรป เพิ่มทุนให้เพียงพอต่อการปรับโครงสร้างหนี้ของกรีซและเพียงพอต่อการรองรับความเสี่ยงจากการแพร่ขยายของวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป โดยกาหนดให้ธนาคารในยุโรปต้องมีสัดส่วนเงินกองทุนประเภทที่ 1 (ส่วนของผู้ถือหุ้น) ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Core tier1 Capital Ratio) ไม่ต่ากว่าร้อยละ 9 ภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2012 (ซึ่งธนาคารในประเทศยุโรปต่างๆ ต้องยืนแผนการเพิ่มทุนให้หน่วยงานกากับสถาบันการเงินภายในแต่ละประเทศภายใน 25 ธันวาคม 2011) ทั้งนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศอาจให้ความช่วยเหลือเพิ่มทุนแก่ธนาคารหากภาคเอกชนไม่สามารถเพิ่มทุนได้สาเร็จ ซึ่งรัฐบาลในเขตยูโรโซนอาจกู้ยืมเงินจากกองทุน European Financial Stability Facility (EFSF) มาเพิ่มทุนให้ธนาคารได้

(3) วิธีการเพิ่มขนาด (Leverage) ของกองทุน EFSF ให้สามารถให้ความช่วยเหลือทางการเงินได้มากขึ้น โดยไม่เปลี่ยนแปลงวงเงินกองทุนที่ประเทศยูโรโซนได้อนุมัติไว้แล้วที่ 4.4 แสนล้านยูโร ซึ่งที่ประชุมผู้นายูโรได้กาหนดวิธีการเพิ่มขนาดกองทุนไว้ 2 วิธี คือ

3.1 ให้ EFSF สามารถรับประกันความเสียหาย ( Insurance Scheme) จากการออกพันธบัตรของประเทศสมาชิกที่ประสบปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ เพื่อจูงใจให้นักลงทุนกล้าที่จะซื้อพันธบัตรจากประเทศรอยขอบ (Peripheral) มากขึ้น เพราะมีกองทุนเข้ามาค้าประกันผลขาดทุนหากเกิดหนี้เสียขึ้น ทั้งนี้ ผู้นายุโรปยังไม่ได้กาหนดสัดส่วนการค้าประกันที่ชัดเจน

3.2 ให้จัดตั้ง Special Purpose Investment Vehicles (SPIV) โดย EFSF จะลงทุนร่วมกับภาคเอกชนและภาครัฐในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศในเอเชียที่ยังเติบโตได้ดี เพื่อให้SPIV สามารถปล่อยกู้ให้กับประเทศที่ประสบกับปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป อย่างไรก็ดี ผู้นาในยุโรปยังไม่ได้กาหนดรายละเอียดของการดาเนินงาน SPIV ที่ชัดเจน

(ทั้งนี้ ผู้นายูโรคาดวิธีทั้ง 2 จะสามารถ Leverage กองทุน EFSF ได้เป็นประมาณ 1 ล้านล้านยูโร)

สำนักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลัง ได้ประเมินผลกระทบของมาตรการฯ ข้างต้น ดังนี้
  • มาตรการแก้ปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรปที่ประกาศนั้น ยังขาดความชัดเจนในหลายเรื่อง เช่น รายละเอียดของการเข้าร่วมของภาคเอกชนในการยินยอมตัดหนี้สูญในโครงการ PSI รายละเอียดของการเพิ่มขนาดกองทุน EFSF ผ่านโครงการ Insurance Scheme และ โครงการ SPIV
  • แม้ว่ามาตรการแก้ปญหาวิกฤติการเงินในยุโรปจะช่วยรองรับปญหาของการขาดสภาพคล่อง (Liquidity Risk) ด้วยการเพิ่มขนาดกองทุน EFSF และช่วยแก้ปญหาบางส่วนของหนี้สินล้นพ้นตัว ( Solvency Risk) ด้วยการตัดหนี้สูญร้อยละ 50 ของกรีซ แต่ปญหาพื้นฐานที่สาคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข คือ การขาดแหล่งที่มาของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ( No source of economic growth) เนื่องจากหลายประเทศที่กาลังประสบปญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในปจจุบันไม่สามารถใช้นโยบายการคลังมากระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก (หนี้สาธารณะอยู่ในระดับสูงมาก) และไม่สามารถใช้ นโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนมาช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (ขึ้นกับนโยบายของธนาคารกลางยุโรป ไม่ใช่นโยบายของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ) ซึ่งในที่สุด หากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีหนี้สาธารณะสูง (โดยเฉพาะกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส สเปน และอิตาลี)ไม่สามารถขยายตัวได้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายหนี้สาธารณะ ประเทศดังกล่าวก็จะขาดความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาว ซึ่งจะทาให้ตลาดการเงินทั่วโลกผันผวนอีก
  • อนึ่ง ภายหลังจากที่ผู้นายูโร ได้ออกมาตรการแก้ไขวิกฤติการเงินในยุโรปดังกล่าว ตลาดเงินตลาดทุนได้เกิดความผันผวนจากปญหาทางการเมืองในกรีซ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีของประเทศกรีซ (Mr.Papandreou) ได้ขอให้ประชาชนกรีซ ทาประชามติ (Referendum) ก่อนเข้ารับความช่วยเหลือเพิ่มเติมตามมาตรการที่ผู้นายูโรอนุมัติข้างต้น ซึ่งต่อมานายก Papandreou ได้รับแรงกดดันทางการเมืองจนต้องประกาศยกเลิกการทาประชามติ และประกาศลาออกจากตาแหน่ง นอกจากนั้น ตลาดการเงินได้ขาดความเชื่อมั่นต่อการขับเคลื่อนนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลอิตาลี ภายใต้การนาของนายกรัฐมนตรี Berlusconi ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเงินของรัฐบาลอิตาลีระยะ 10 ปี สูงเกินกว่าระดับ 7% ซึ่งเป็นระดับอันตรายที่อาจทาให้อิตาลีขาดความยั่งยืนทางการคลัง เช่นเดียวกับกรีซ โปรตุเกส และไอร์แลนด์ จนในที่สุด แรงกดดันทางการเมืองใประเทศได้ส่งผลให้นายกฯ Berlusconi ต้องประกาศลาออกจากตาแหน่งเช่นกัน

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group : Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ