Macro Morning Focus ประจำวันที่ 4 เมษายน 2555
1. อาหารแพงดันเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดในรอบปี
2. ก.ล.ต.ลั่นไม่ทบทวนเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ แนะโบรกเกอร์เปิดเสรีอาเซียนในช่วง 2 ปีข้างหน้า
3. จีนอาจมีกฎระเบียบเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศ
- ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือน มี.ค. 55 เท่ากับ 114.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 54 และสูงขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยหมวดสินค้าอาหารสดและหมวดสินค้าที่ไม่ใช่อาหารปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.0 และ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเท่ากับ 107.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
- สศค. วิเคราะห์ว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยที่ปรับสูงขึ้นมีสาเหตุจากดัชนีราคาในหมวดสำคัญเพิ่มสูงขึ้น โดยดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อันมีสาเหตุเนื่องมาจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดและแห้งแล้ง ทำให้ผลผลิตมีปริมาณออกสู่ตลาดน้อย ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลไหว้บรรพบุรุษของชาวไทยเชื้อสายจีน ทำให้อุปสงค์ของสินค้า เช่น ผักสดบางชนิด ปรับเพิ่มสูงกว่าอุปทานในท้องตลาดเป็นจำนวนมาก ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักมาจากการปรับขึ้นของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศซึ่งปรับตามราคาน้ำมันตลาดโลก (ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุด ณ วันที่ 2 เม.ย. 55 อยู่ที่ 120.0 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 55 ถึงร้อยละ 15.4) และการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามนโยบายของรัฐบาล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปรับสูงขึ้น ทั้งนี้ สศค. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 55 อยู่ที่ร้อยละ 3.6 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 3.1-4.1 ต่อปี) และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ร้อยละ 1.8-2.8) (คาดการณ์ ณ เดือน มี.ค. 55)
- สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า จะไม่ทบทวนการเปิดเสรีค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (Commission) และการเปิดเสรีใบอนุญาตค้าหลักทรัพย์ ซึ่งดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2555 เนื่องจากตลาดทุนไทยต้องการให้เกิดการแข่งขันได้ และเชื่อมโยงตลาดทุนที่จะเกิดขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ การเปิด AEC เป็นโอกาสที่ธุรกิจหลักทรัพย์จะฉวยโอกาสจากเพื่อนบ้าน หรือมองโอกาสที่จะไปทำธุรกิจนอกประเทศได้ ซึ่งก่อนไปต้องทำตัวเองให้เข้มแข็งสามารถแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซียหรือสิงคโปร์ มีการเปิดเสรี รวมทั้งประเทศอื่นๆ ในอาเซียน มีการเปิดเสรีเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะธุรกิจหลักทรัพย์หรือภาคการเงิน ทำให้เกิดการแข่งขันในประเทศสูงขึ้น ธุรกิจเหล่านั้นจึงเริ่มหันมองการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ธนาคารซีไอเอ็มบี (CIMB) ธนาคารเมย์แบงก์ของมาเลเซีย เข้ามาลงทุนขอส่วนแบ่งในธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งกฎหมายไทยเปิดให้ลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์ได้ 100
- สศค.วิเคราะห์ว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการตามแผนพัฒนาตลาดทุนไทย เพื่อรองรับการรวมตัวเป็น AEC โดยจะเปิดเสรีให้ทำธุรกิจหลักทรัพย์ได้เต็มรูปแบบ จะเกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวมที่ทำให้ระบบการเงินของอาเซียนมีความสมดุลและลดความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตทางการเงิน โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียวในการระดมเงินออม และจัดสรรเงินลงทุน ขณะเดียวกัน การพัฒนาตลาดทุนในภูมิภาคอาเซียนยังเป็นการเพิ่มแหล่งระดม ทุนสำหรับภาคธุรกิจ และเป็นทางเลือกใหม่ในการออมและลงทุนในตลาดทุนของประเทศสมาชิกอาเซียน ดังนั้น อาเซียนจึงสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงตลาดทุนอาเซียนเข้าด้วยกัน เพื่อยกระดับความสำ คัญของตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มอาเซียนให้เพิ่มสูงขึ้นขณะเดียวกันนักลงทุนก็สามารถเข้ามาลงทุนหรือระดมทุนได้สะดวกรวดเร็วจากการมีมาตรฐานและกฎระเบียบที่สอดคล้องกันภายใต้ความร่วมมือเดียวกัน
- ผู้ว่าการธนาคารกลางของจีน เปิดเผยว่า จีนอาจมีกฎระเบียบต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ความสะดวกผู้ประกอบการจีนและส่งเสริมให้นักลงทุนเอกชนของจีนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังให้ความเห็นเพิ่มเติมถึงเศรษฐกิจโลกว่าจีนมีการดำเนินโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อรับมือกับเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย รวมถึงปัญหาเงินเฟ้อและความเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์
- สศค. วิเคราะห์ว่า แม้ว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของจีนในปี 53 จะมีมูลค่าสูงถึง 116 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็เริ่มมีสัญญาณหดตัวครั้งแรกในเดือน พ.ย. 54 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 28 เดือน และข้อมูลล่าสุด การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเดือน ก.พ. 55 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีมูลค่า 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในช่วง 2 เดือนแรกของปี 55 มีมูลค่ารวม 17.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหดตัวร้อยละ -0.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย FDI จากภาคการผลิตมีมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ -0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ FDI จากภาคบริการมีมูลค่า 8.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ -3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาการลงทุนในต่างประเทศของจีน พบว่า ในปี 53 จีนมีการลงทุน 1,392 โครงการ ใน 132 ประเทศ และรัฐบาลจีนก็ได้มีนโยบายสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศตามแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับที่ 12 (2554-2558) ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย โดยล่าสุด การลงทุนต่างประเทศจากจีนในปี 54 มีมูลค่า137.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1.4 จากมูลค่ารวมของการลงทุนจากต่างประเทศ 9,539 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอยู่ในลำดับที่ 14 ของกลุ่มประเทศที่มาลงทุนในไทย
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:
Fiscal Policy Office Tel. 02-273-9020 Ext.3665 : www.fpo.go.th