รายงานภาวะเศรษฐกิจรายวันประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Monday May 21, 2012 12:36 —กระทรวงการคลัง

Macro Morning Focus ประจำวันที่ 21 พฤษภาคม 2555

Summary:

1. ชัจจ์เล็งปลุกผี 3 โปรเจ็กต์ยักษ์ 1.5 แสนล้าน

2. ธปท. คาดปัญหายุโรปกระทบสินเชื่อธนาคารทั้งระบบเพียง 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

3. ผู้นำจี 8 หนุนกรีซอยู่ในยูโรโซนท่ามกลางวิกฤตหนี้สินที่ปะทุขึ้นอีกรอบ

Highlight:
1. ชัจจ์เล็งปลุกผี 3 โปรเจ็กต์ยักษ์ 1.5 แสนล้าน
  • ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก รมช.คมนาคม ในฐานะกำกับดูแลกรมเจ้าท่า (จท.) และการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ได้สั่งการเร่งเดินหน้า 3 เมกะโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 157,960 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา 55,364 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 มูลค่า 88,156 ล้านบาทและ

โครงการก่อสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่าน 14,442 ล้านบาท และเตรียมจะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3 ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนศึกษารายละเอียดสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะใช้เวลา 2 ปี ส่วนโครงการสร้างเขื่อนยกระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและน่าน ขณะนี้อยู่ระหว่างทำการศึกษาความเหมาะสมทางวิศวกรรมและทางเศรษฐกิจและศึกษาสิ่งแวดล้อม คาดว่าจะใช้งบในการศึกษาและออกแบบรายละเอียดจำนวน 200 ล้านบาท

  • สศค. วิเคราะห์ว่า จากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) พบว่าดัชนีความสามารถด้าน โลจิสติกส์ (Logistics Performance Index: LPI)ของประเทศไทยอยู่อันดับที่ 35 ของโลก โดยเป็นรองประเทศในภูมิภาคเดียวกัน อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ จีน และมาเลเซีย และยังคงมีคะแนนห่างกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยจุดอ่อนที่สำคัญของไทยด้านโลจิสติกส์ คือ พิธีการศุลกากร และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง จากข้อมูลดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับประเทศไทย โดยจากข่าวข้างต้น การก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ทั้งสามโครงการ เป็นการเพิ่มสมรรถนะทางด้านการขนส่งทางน้ำ โดยจะเป็นผลดีต่อการลดต้นทุนการขนส่งทางน้ำ ประกอบกับจะทำให้การขนส่งทางน้ำมีความสะดวกมากขึ้น และมีศักยภาพในการพัฒนาให้เป็นแหล่ง (Hub)ของการขนส่งทางน้ำในระดับภูมิภาคได้ เป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคต
2. ธปท. คาดปัญหายุโรปกระทบสินเชื่อธนาคารทั้งระบบเพียง 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศและยุโรปไม่น่าจะกระทบต่อระบบธนาคารพาณิชย์และเศรษฐกิจไทย เนื่องจากสินเชื่อที่ปล่อยกู้ให้กับธุรกิจในต่างประเทศมีเพียงร้อยละ 4 ของสินทรัพย์รวมของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ 13.6 ล้านล้านบาทเท่านั้น และถ้ายิ่งแยกเฉพาะสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับยุโรปยิ่งมีน้อยเพียงร้อยละ 0.4 ของสินทรัพย์รวม หรือประมาณ 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6.51 หมื่นล้านบาท
  • สศค. วิเคราะห์ว่า แม้ว่าปัญหาวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปจะไม่ส่งผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์มากนัก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจภายในประเทศ และปล่อยสินเชื่อให้กับประเทศที่มีปัญหาในสัดส่วนที่ไม่มากนัก ประกอบกับเสถียรภาพของธนาคาร

พาณิชย์ไทย ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL ในไตรมาสที่ 1 ปี 55 ลดลงอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ของสินเชื่อรวม จากร้อยละ 2.7 ของสินเชื่อรวมในไตรมาสก่อน แต่ผลกระทบจากวิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อภาคการเงินผ่านตลาดหุ้นตลาดทุน และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้น โดยล่าสุดในวันที่ 21 พ.ค. 55 ค่าเงินบาทอยู่ที่ 31.24 อ่อนค่าลงจากเดือนเม.ย.55 ที่อยู่ที่ 30.7 ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อยู่ที่ 1,154.44 จุด จาก 1,228.49 จุด ในวันที่ 30 เม.ย. 55

3. ผู้นำจี 8 หนุนกรีซอยู่ในยูโรโซนท่ามกลางวิกฤตหนี้สินที่ปะทุขึ้นอีกรอบ
  • ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม 8 ประเทศ หรือ จี8 เรียกร้องให้กรีซ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้สินในยุโรปยังคงสถานะประเทศยูโรโซนต่อไป โดยเรียกร้องให้จัดทำงบประมาณกลาง และส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อฝ่าฝันวิกฤติ รวมทั้งป้องกันไม่ให้วิกฤติลุกลามออกไปยังสหรัฐ และเอเชีย
  • สศค.วิเคราะห์ว่า ความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤติหนี้ยุโรปได้เริ่มกลับมาก่อตัวเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งภายหลังจากที่กรีซยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และอาจต้องเลือกตั้งใหม่ในเดือนมิ.ย.55 ซึ่งส่งผลให้ตลาดสินทรัพย์ทั่วโลกผันผวน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลดลงตลอดทั้ง

สัปดาห์ที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 14-18 พ.ค. 55 จากความกังวลดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงไปอยู่ที่ระดับ 1,154.44 จุด หรือลดลงรวมทั้งสัปดาห์ 36.57 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิถึง 7,381.88 ล้านบาทในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงตลอดทั้งสัปดาห์เช่นกัน

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group:

Fiscal Policy Office Tel. 02-273-9020 Ext.3665 : www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ