บทสรุปผู้บริหาร
- สำนักงานสถิติฯ ประกาศยืนยันตัวเลข Second Estimate ของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ U.K ในไตรมาส 4 ของปี 2554 หดตัวจากไตรมาสก่อนที่ -0.2%(QoQ) แต่ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับไตรมาส4 ปี 2553 เหลือ 0.7%(YoY) ส่งผลให้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ U.K เฉลี่ยทั้งปี 2554 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.9% (YoY) เหลือเพียงขยายตัว 0.8% (YoY)
- แม้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2554 จะหดตัว แต่ดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อ (PMI) ทั้งภาคบริการและภาคอุตสาหกรรมในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 1 ปี 2555 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าบ่งชี้เศรษฐกิจ UK ในไตรมาสแรกของปี 2555 น่าจะขยายตัวได้เล็กน้อย
- อัตราเงินเฟอล่าสุดในเดือน ก.พ. 55 ลดลงมาอยู่ต่ำสุดในรอบ 15 เดือนที่ 3.4% แต่อัตราการว่างงานล่าสุดยังทรงตัวระดับสูงที่ 8.4% ของกำลังแรงงาน โดยเฉพาะอัตราว่างงานในช่วงอายุ 16-24ปี เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 22.5% ขณะที่ดุลการค้าในเดือนม.ค.55 ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเนื่องจากขาดดุลมากขึ้นกับคู่ค้าหลักในEU ที่กำลังประสบปญหาเศรษฐกิจถดถอย
- กระทรวงการคลัง คาดเศรษฐกิจในปี 2555 จะยังคงขยายตัวในระดับต่ำเท่ากับปีก่อนที่ 0.8% (YoY) แต่เป็นการปรับประมาณการเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ครั้งก่อนที่ 0.7% โดยปจจัยสนับสนุนหลักมาจากการบริโภคเอกชนที่คาดว่าจะขยายตัวดีขึ้น จากอัตราเงินเฟอในปี 55 ที่คาดว่าจะปรับลดเหลือ 2.8% ลดลงจาก 4.5% ในปีก่อน
- การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในเดือนมี.ค.ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำที่ 0.5% และคงมาตรการ Quantitative Easing ที่ 325 พันล้านปอนด์
- รัฐบาลประกาศนโยบายภาษีและงบประมาณปี 2555 (เม.ย.55-มี.ค.56) โดยยังคงยึดมั่นในนโยบายลดการขาดดุลการคลังให้สู่สมดุลในปี 2559 แต่ได้ปฎิรูปโครงสร้างภาษีหลายประเภท เช่น ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 24%ในปี 55 และ 22% ในปี 56 ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดจาก 50% เหลือ 45% และเพิ่มอากรแสตมป์ขายบ้าน
- สำนักงานสถิติฯ ยืนยันเศรษฐกิจ UK ไตรมาส4 ปี 2011 หดตัวจากไตรมาสก่อน -0.2% แต่ปรับลดการขยายตัวเฉลี่ยในปี 2011 เหลือ 0.8% จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.9%
สำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักรประกาศตัวเลข Second Estimate ของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (U.K) ไตรมาส 4 ของปี 2554 (ค.ศ.2011) หดตัวจากไตรมาสก่อนที่ -0.2% (QoQ) เท่ากับที่ประกาศในครั้งแรกเมื่อเดือนมกราคม(First Estimate) แต่ได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2554 เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.8% (YoY) เหลือ 0.7%(YoY) ส่งผลให้ต้องปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ U.K เฉลี่ยทั้งปี 2554 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 0.9% (YoY) เหลือเพียงขยายตัว 0.8% (YoY) ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ลดลงมากจากปี 2553 (ค.ศ.2010) ที่ขยายตัว 2.1%
เมื่อพิจารณารายละเอียดของข้อมูลอัตราการขยายตัวเฉลี่ยในปี2554 (ค.ศ.2011) ในภาคการผลิต (Supply Side) และภาคการใช้จ่าย (Demand Side) พบว่า สาเหตุหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจ U.K. ในปี 2554 ขยายตัวในอัตราชะลอลงมาก มาจาก การผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) ที่หดตัวถึง -1.3% (YoY) จากที่เคยขยายตัวได้ 1.9% ในปีก่อนหน้า เนื่องจากผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพื่อการใช้จ่ายในประเทศหดตัวมากตามการลงทุนและการบริโภคในประเทศที่หดตัวถึง -1.7%(YoY) และ -0.8%(YoY) ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออกก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว สะท้อนได้จากการส่งออกในปี 2554 ที่ชะลอการขยายตัวเหลือ 4.8%(YoY) ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 7.4%(YoY) อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจ UK ในปี 2554 ยังได้รับแรงขับเคลื่อนจากการผลิตภาคบริการ(Services) ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดถึงร้อยละ 76.3 ของ GDP ที่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องที่1.6%(YoY) ในปี 2554 โดยได้รับปจจัยสนับสนุนจากการผลิตบริการด้านธุรกิจและการเงิน (Business Service and Finance) ที่ยังเติบโตได้ดี
- ดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อ (PMI) ชี้เศรษฐกิจ UK ในไตรมาสแรกน่าจะขยายตัวเล็กน้อย
ดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคบริการ (Services Purchasing Managers' Index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้การผลิตภาคบริการที่มีสัดส่วนสูงสุดของการผลิตในสหราชอาณาจักรบ่งชี้ การผลิตภาคบริการในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 53.8 จุด ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนมกราคมที่อยู่ที่ 56 จุด สะท้อนการผลิตภาคบริการที่ยังคงเปราะบาง อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ภาคบริการเฉลี่ย 2 เดือนแรกของไตรมาส 1 ของปี 2555 (ค.ศ.2011) อยู่ที่เฉลี่ย 54.9 จุด ซึ่งยังคงสูงกว่าระดับ 50 จุดที่สะท้อนการผลิตที่ไม่ขยายตัว และยังคงปรับตัวสูงกว่าดัชนี PMI ภาคบริการเฉลี่ยในไตรมาสก่อนหน้า บ่งชี้ว่า การผลิตภาคบริการในไตรมาสแรกปี 2555 น่าจะขยายตัวดีขึ้นกว่าไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ที่ไม่มีการขยายตัว
ส่วนดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อภาคอุตสาหกรรม (Manufacturing Purchasing Managers' Index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้เศรษฐกิจการผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหราชอาณาจักรในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 51.2 จุด จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 52 จุด โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนราคาสินค้าที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลกขณะที่ยอดขายยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI อุตสาหกรรมเฉลี่ยในไตรมาสแรกอยู่ที่ 51.6 จุด ซึ่งปรับตัวสูงกว่าระดับ 50 จุด (ระดับที่การผลิตไม่มีขยายตัว) อีกครั้งสะท้อนการผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสแรกของปี 2555 น่าจะขยายตัวได้เล็กน้อย หลังจากที่หดตัวในไตรมาส 4 ของปีก่อน
จากเครื่องชี้ PMI ข้างต้น สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจUKในไตรมาสแรกน่าจะขยายตัวเป็นบวกได้เล็กน้อย ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่หดตัว -0.2%
- อัตราเงินเฟอในเดือนก.พ.55 อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 15 เดือนที่ 3.4% แต่อัตราว่างงานล่าสุดในเดือนม.ค.55 ยังทรงตัวระดับสูงที่ 8.4% ของกำลังแรงงาน
เสถียรภาพเศรษฐกิจที่วัดจากอัตราเงินเฟอล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องโดยอัตราเงินเฟอที่คำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 อยู่ต่ำที่สุดในรอบ 15 เดือน ที่ 3.4% (YoY) ลดลงจาก 3.6% ในเดือนมกราคม 2555 และปรับลดลงต่อเนื่องจากจุดสูงสุดที่5.2% เมื่อเดือนกันยายน2554 ขณะที่อัตราเงินเฟอที่คำนวณจากดัชนีราคาสินค้าขายปลีก (Retail Price Index: RPI) ได้ลดลงมาอยู่ที่ 3.7% (YoY) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ลดลงจาก 3.9% ในเดือนมกราคม 2555
สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าสาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องมาจาก ปัจจัยพิเศษที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟอในปีก่อนเร่งตัวสูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มหมดไป ประกอบกับ ภาวะเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรที่อ่อนแอทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่กล้าปรับขึ้นราคาสินค้าสูงขึ้นมากนัก ดังจะเห็นได้จากราคาเสื้อผ้าและรองเท้าที่ขยายตัวเพียงแค่ 2.2% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ขณะที่ราคาบริการสันทนาการในเดือนเดียวกันกลับหดตัวถึง -0.9%
อย่างไรก็ดี แม้ว่าในภาพรวมอัตราเงินเฟ้อจะขยายตัวในอัตราชะลอลงอย่างต่อเนื่องแต่อัตราเงินเฟอในเดือนกุมภาพันธ์ที่ 3.4% ดังกล่าว ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเงินเฟอที่ตลาดการเงินคาดการณ์เล็กน้อยที่ 3.3% เนื่องจากราคาเชื้อเพลิงและพลังงานเริ่มปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกในเดือนกุมภาพันธ์ อันเป็นผลมาจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศที่วัดจากอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) ในรอบ 3 เดือนที่สิ้นสุดเดือนมกราคม 2555 (พฤศจิกายน 2554-มกราคม2555) อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 8.4 ของกำลังแรงงาน โดยมีจำนวนผู้ว่างงานในรอบ 3 เดือนสิ้นสุดเดือนมกราคม 2555 ทั้งสิ้นจำนวน 2.67 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 28,000 คน ซึ่งนับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ว่างงานที่น้อยที่สุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมของปีก่อน สะท้อนว่าความรุนแรงของปญหาว่างงานที่เพิ่มขึ้นได้เริ่มผ่อนคลายเล็กน้อย อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาจำนวนผู้ว่างงานส่วนใหญ่พบว่าผู้ว่างงานส่วนใหญ่เป็นกลุ่มแรงงานที่เป็นวัยรุ่นในช่วง 16-24 ปี(Youth Unemployment) โดยมีจำนวนผู้ว่างงานที่เป็นวัยรุ่นถึง 1.04 ล้านคน ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2554-มกราคม 2555 หรือ คิดเป็นอัตราการว่างงานของแรงงานวัยรุ่นที่ร้อยละ 22.5 ของกำลังแรงงาน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ร้อยละ 0.4
ทั้งนี้ อัตราการจ้างงาน (Employment Rate) ในช่วง 3 เดือนที่สิ้นสุดเดือนมกราคม 2555 ทรงตัวเท่ากับไตรมาสก่อนที่ร้อยละ 70.3 ของกำลังแรงงาน โดยมีจำนวนผู้มีงานทำ(Employment Level) รวมทั้งสิ้น 29.12 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 9,000 คน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานภาคเอกชนในขณะที่ภาครัฐมีการจ้างงานลดลง
สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่า แม้จำนวนผู้ว่างงานใน U.K จะเพี่มขึ้นในอัตราชะลอลง แต่ภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ จะทำให้อัตราการว่างงานใน U.K. ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงที่เหลือของปี
- ดุลการค้าล่าสุดในเดือนมกราคม 2555 ขาดดุลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากขาดดุลสินค้าเพิ่มขึ้นขึ้นกับคู่ค้าหลักใน EU ที่กำลังประสบกับวิกฤติหนี้สาธารณะรุนแรง
ดุลการค้าล่าสุดขาดดุลเพิ่มขึ้นจากที่ขาดดุล -1.2 พันล้านปอนด์ในเดือนธันวาคม 2554 มาอยู่ที่ -1.8 พันล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2555 เนื่องจากดุลการค้าของสินค้าในเดือนมกราคมที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -7.6 พันล้านปอนด์ เทียบกับเดือนธันวาคม 2554 ที่ขาดดุล -7.2 พันล้านปอนด์ ขณะที่ดุลการค้าของบริการในเดือนมกราคมก็เกินดุลลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.8 พันล้านปอนด์ เทียบกับเดือนธันวาคม 2554 ที่เกินดุล 6.0 พันล้านปอนด์
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายละเอียดของดุลการค้าของสินค้าที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -7.6 พันล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2555 พบว่ามาจากการขาดดุลการค้าสินค้ากับประเทศในสหภาพยุโรป (EU) ที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ -3.9 พันล้านปอนด์ ในเดือนมกราคม 2555 (เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ขาดดุล -3.6 พันล้านปอนด์) ขณะที่ยังคงขาดดุลการค้ากับประเทศนอกสหภาพยุโรป (Non EU) ที่ -3.7 พันล้านปอนด์ ในระดับใกล้เคียงกับเดือนก่อนที่ขาดดุล -3.6 พันล้านปอนด์ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้สหราชอาณาจักรขาดดุลการค้ากับสหภาพยุโรปมากขึ้นเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปได้ส่งผลให้สหราชอาณาจักรส่งสินค้าออกไปยัง EU ได้น้อยลง โดยมูลค่าการส่งออกไปยัง EU ในเดือนมกราคม 2555 หดตัวจากเดือนก่อน -0.3% ขณะที่มูลค่าการส่งออกไปยังนอก EU ในเดือนมกราคม 2555 ยังคงขยายตัวจากเดือนก่อนได้ถึง 4.4%
- BOE มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% และคงมาตรการ Quantitative Easing (QE) ไว้ที่ 325 พันล้านปอนด์ หลังจากเพิ่ม QE 50 พันล้านปอนด์ในเดือนก่อน
ในวันที่ 8 มีนาคม 2555 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) ของธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England: BOE) มีมติให้คงนโยบายอัตราดอกเบี้ย Bank rate ไว้ตามเดิมในอัตราร้อยละ 0.50 และคงมาตรการอัดฉีดเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจด้วยการรับซื้อตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน (Quantitative Easing: QE) เท่าเดิมที่ 325 พันล้านปอนด์ หลังจากที่ได้เพิ่มจำนวนรับซื้อตราสารหนี้ในโครงการ QE จำนวน 50 พันล้านปอนด์ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในเดือนก่อน
ทั้งนี้ คณะกรรรมการนโยบายการเงินส่วนใหญ่ มีความเห็นว่า แม้เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรจะมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ข้อมูลเครื่องชี้เศรษฐกิจล่าสุดของไตรมาสแรกบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในไตรมาส 1 ของปี 2555 น่าจะขยายตัวได้เล็กน้อย ทำให้คลายความกังวลจากการที่เศรษฐกิจจะหดตัวติดต่อกัน 2 ไตรมาส (Recession) ประกอบกับ อัตราเงินเฟอมีแนวโน้มที่จะลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น คณะกรรมการนโยยายการเงินจึงมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิมที่ร้อยละ 0.5 เพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจให้ชัดเจนขึ้น(Wait and See)
อย่างไรก็ดี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในเดือนมีนาคมดังกล่าว มีกรรมการนโยบายการเงิน 2 ท่าน ได้แก่ Mr.Adam Posen และ Mr.David Miles มีความเห็นที่แตกต่างจากคณะกรรมการนโยบายการเงินท่านอื่นโดยต้องการให้เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการรับซื้อตราสารหนี้ Quantitative Easing อีก 25 พันล้านปอนด์ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในสหราชอาณาจักร
- รัฐบาลขาดดุลงบประมาณในเดือนก.พ.55 สูงขึ้น แต่การขาดดุลสะสมในปีงบประมาณ 54 ยังเป็นไปตามเปาหมายที่จะลดการขาดดุลจากปีก่อนเหลือ -126 พันล้านปอนด์
รัฐบาลขาดดุลงบประมาณในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 มากขึ้น มาอยู่ที่ -15.2 พันล้านปอนด์ ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ -8.9 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้ยอดขาดดุลงบประมาณสะสมสุทธิในรอบ 11 เดือนของปีงบประมาณ 2011/2012 (เมษายน 2555-กุมภาพันธ์ 2555) (Cumulative public sector net borrowing) ขาดดุลอยู่ที่ -110 พันล้านปอนด์ ต่ำกว่ายอดขาดดุลสะสมในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ -118.9 พันล้านปอนด์ ส่งผลให้คาดว่ายอดขาดดุลงบประมาณสะสมสุทธิของทั้งปีงบประมาณ 2011/2012 น่าจะเป็นไปตามเปาหมายที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ที่ -126 พันล้านปอนด์ (-8.3% ของ GDP) ซึ่งเป็นการขาดดุลที่ลดลงจากยอดขาดดุลสะสมในปีงบประมาณก่อนที่ขาดดุล -136.8 พันล้านปอนด์ (-9.3% ของ GDP)
การขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้ส่งผลให้ยอดหนี้สาธารณะสุทธิ (ที่ไม่รวมมาตรการช่วยเหลือภาคการเงิน) ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2555 เพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ที่ 995 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 63.1 ของ GDP ซึ่งสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ที่ 887.3 พันล้านปอนด์ หรือเท่ากับร้อยละ 58.8 ของ GDP
- กระทรวงการคลังคาดเศรษฐกิจ UK ในปี2555 ขยายตัวในอัตราต่ำเท่ากับปีก่อนที่ 0.8%
ณ วันที่ 21 มีนาคม 2555 กระทรวงการคลัง โดย Office for Budget Responsibility ประกาศตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในปี 2555 (ค.ศ.2012) ว่ามีแนวโน้มขยายตัวในอัตราเท่ากับปีก่อนหน้าที่ 0.8% (แต่ปรับการคาดการณ์เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการประมาณการครั้งก่อนในเดือน พ.ย.2554 ที่คาดไว้ 0.7%) โดยมีปจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption) ซึ่งมีสัดส่วนสูงที่สุดในระบบเศรษฐกิจ (ประมาณร้อยละ 63 ของ GDP) ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 0.5% ในปี 2555 หลังจากที่หดตัวถึง -0.8% ในปีก่อนเนื่องจากประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อในปี2555 จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.8% จากฐานที่สูง 4.5% ในปีก่อน (ที่มีปจจัยพิเศษที่ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นผิดปกติจากการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งจะช่วยส่งผลให้ให้อำนาจซื้อของผู้บริโภคในปี 2555 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย อย่างไรก็ดี ปจจัยฉุดของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรยังมาจากนโยบายการตัดลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐตามนโยบายลดการขาดดุลการคลังของรัฐบาล ซึ่งจะทำให้รายจ่ายเพื่อการบริโภคภาครัฐ(Government Consumption) ขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยที่ 0.5% และจะส่งผลให้รายจ่ายเพื่อการลงทุนของประเทศ(Total Investment) ยังคงหดตัวที่ -0.3% นอกจากนั้น เนื่องจากเศรษฐกิจคู่ค้าหลักของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป ที่มีแนวโน้มจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะ จะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการของสหราชอาณาจักรในปี 2555 ขยายตัวในอัตราชะลอลงมาอยู่ที่ 2.9% ลดลงจากปี 2554 ที่ขยายตัวได้ที่ 4.8%
ในด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มลดลง แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจยังมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เร่งตัวขึ้น และปัญหาการว่างงานในปี 2555 ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่8.7% ของกำลังแรงงาน แต่ในด้านเสถียรภาพภายนอก คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดในปี 2555 จะขาดดุลลดลงมาอยู่ที่ -1.7% ของ GDP
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 รัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ประกาศนโยบายภาษีและนโยบายในงบประมาณปี 2555 (เมษายน 2555-มีนาคม 2556) สรุปได้ดังนี้
1. ยุทธศาสตร์งบประมาณ:
- รัฐบาลยังคงยึดมั่นกับเปาหมายการลดการขาดดุลงบประมาณ (Fiscal Consolidation) ให้ได้ตามเปาหมาย โดยมุ่งลดการขาดดุลงบประมาณประจำพื้นฐาน (Cyclically-adjusted Current Budget) ให้กลับเข้าสู่สมดุลให้ได้ในปีงบประมาณ 2559 (ค.ศ.2016)
- ปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีให้เกิดความเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และไม่ซับซ้อน (A fairer, more efficient and simpler tax system) และปฏิรูปการคลังให้สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Reform to support growth)
- การปรับเปลี่ยนนโยบายและการปฏิรูปการคลังดังกล่าว ไม่ทำให้รัฐบาลขาดดุลหรือเกินดุลมากขึน (Revenue Neutral)
2. การปรับเปลี่ยนนโยบายภาษี ที่สำคัญได้แก่
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax):
- ปรับลดอัตราภาษีเงินได้ขั้นสูงสุดสำหรับผู้มีรายได้เกิน 150,000 ปอนด์ต่อปี จาก 50% เหลือ 45% โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 (ค.ศ.2013)
- ขยายช่วงรายได้ที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง 40% ให้กว้างขึ้น จากเดิม 35,001-150,000 ปอนด์ต่อปี เป็น 34,370-150,000 ปอนด์ต่อปี
- ปรับเพิ่มเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีของคนที่มีอายุต่ำกว่า 65 ปี จาก 8,105 ปอนด์ต่อปี เป็น 9,205 ปอนด์ต่อปี แต่ไม่ปรับเพิ่มรายได้ขั้นต่ำของคนที่มีอายุเกิน 65 ปี ส่งผลให้คนที่มีอายุเกิน 65 ปี อาจต้องเสียภาษีมากขึ้น (Granny Tax)
- กำหนดเพดานขั้นต่ำของบุคคลธรรมดาที่ได้รับค่าลดหย่อยภาษีไม่ให้เกิน 50,000 ปอนด์ต่อปี หรือ ไม่เกิน 25% ของรายได้
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)
- ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 26% เป็น 24% ในปี ค.ศ. 2012 เป็น 23% ในปี 2013 และเหลือ 22% ในปี 2014
- ให้หักเครดิตภาษีแก่การขุดเจาะบ่อน้ำมันในทะเลเหนือ และให้แก่ธุรกิจสร้างหนัง สร้างการ์ตูน Animation และสร้างวีดีโอเกมส์ เพื่อสนับสนุนธุรกิจCreative Economy
- ให้บริษัทที่ลงทุนในโครงการ Seed Enterprise Investment Scheme (Seed EIS) สามารถนำเงินที่ลงทุนในบริษัทขนาดเล็กมาหักลดหย่อนภาษีได้ 50% ของเงินลงทุนในส่วนที่ไม่เกิน 100,000 ปอนด์ เพื่อช่วยบริษัทขนาดเล็กให้ได้เงินทุนง่ายขึ้น
- ปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมธนาคาร (Bank Levy) จาก 0.088% ของสินทรัพย์ เป็น 0.105 ของสินทรัพย์ โดยเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ.2013
- ภาษีการบริโภค
- ปรับเพิ่มอัตราภาษีบุหรี่ อีก 5% เพิ่มเติมจากอัตราเงินเฟ้อตามปกติ
- ปรับเพิ่มภาษีน้ำมันอีก 3 pennies ต่อลิตร ในเดือนสิงหาคม
- เตรียมศึกษาการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ในปี ค.ศ.2014 ให้จูงใจคนมาใช้รถยนต์ที่ปล่อยมลภาวะลดลง (Lower Emission)
- เตรียมศึกษาการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT จากอาหารจานด่วน (take away food) จากเดิมที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี VAT
- ภาษีที่ดิน
- ปรับเพิ่มอากรแสตมปจากการซื้อขายบ้านและที่ดินที่มีราคาเกิน 2 ล้านปอนด์ จากเดิมที่เสียอัตรา 5% ของมูลค่าการซื้อขาย เป็น 7% ของมูลค่าการซื้อขาย และใน กรณีที่เป็นการซื้อขายโดยบริษัทที่จะทะเบียนนอกประเทศ(ที่มุ่งเน้นการหลีกเลี่ยงภาษี) จะต้องเสียอากรแสตมปในอัตรา 15%
3. การปรับเปลี่ยนนโยบายรายจ่ายที่สำคัญ ได้แก่
- การขยายเพดานของเงินเดือนของผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการเลี้ยงดูบุตร Child Benefit (บุตรคนแรก ได้รับ 20.3 ปอนด์ต่อสัปดาห์ และบุตรคนต่อไป ได้รับ 13.4 ปอนด์ต่อสัปดาห์) จากเดิมที่กำหนดเพดานรายได้ของพ่อหรือแม่ไว้ที่ 42,475 ปอนด์ต่อคน เป็น 60,000 ปอนด์ต่อคน โดยครอบครัวที่มีรายได้เกิน 50,000 ปอนด์ จะได้รับ Child Benefit ลดลง 1 ปอนด์ ของรายได้ทุกๆ 100 ปอนด์ ที่ได้รับเกิน 50,000 ปอนด์ เช่น ครอบครัวที่มีรายได้ 50,100 ปอนด์ จะได้รับ Child Benefit ลดลง 1 ปอนด์ต่อสัปดาห์
-เพิ่มรายจ่ายในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อปรับปรุงเครือข่ายรถไฟทางภาคเหนือของสหราชอาณาจักร (Network Rails in the Northern England)
- ทบทวนการขึ้นเงินเดือนราชการให้สอดคล้องกับเงินเดือนของภาคเอกชน เพื่อไม่ให้เป็น อุปสรรคในการจ้างงานของภาคเอกชน และทบทวนอายุในการจ่ายบำนาญให้สอดคล้องกับอายุเฉลี่ยของคนที่นานขึ้น
- การเพิ่มเงินกองทุนภาครัฐ-เอกชน Business Finance Partnership ในการปล่อยกู้ให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กจาก 1 พันล้านปอนด์ เป็น 1.2 พันล้านปอนด์
- เพิ่มสัดส่วนการประกันการปล่อยสินเชื่อของภายใต้โครงการEnterprise Finance Guarantee Scheme จาก 15% เป็น 20% เพื่อช่วยให้เอกชนได้รับสินเชื่อง่ายขึ้น
ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th