ภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป มีนาคม 2555

ข่าวเศรษฐกิจ Friday April 20, 2012 09:23 —กระทรวงการคลัง

บทสรุปผู้บริหาร

ภาพรวมเศรษฐกิจ
  • สำนักงานสถิติ Euro Stat ประกาศยืนยัน(ข้อมูลสุดท้าย) เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4ของปี 2554 หดตัวจากไตรมาสก่อนที่ -0.3% (QoQ) ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนเฉลี่ยทั้งปี 2554 ขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 1.5% ลดลงจากปี 2553 ที่ขยายตัว 1.8%
  • สาเหตุหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสสุดท้ายหดตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนที่หดตัวอย่างรุนแรงจากปัญหาการว่างงานและการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐเพื่อแก้ปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัว ขณะที่การส่งออกซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สาคัญก็หดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว
  • ดัชนีชี้เศรษฐกิจ Composite Purchasing Managers’ Index ในไตรมาส 1 ปี 2555 อยู่ที่ระดับ 49.6 จุด ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 จุด (ซึ่งเป็นระดับที่ชี้ระดับการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว) ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะหดตัวในไตรมาสแรกของปี 2555
  • สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกของปี 2555 น่าจะหดตัวประมาณ -0.1% หรือ -0.2% QoQ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ไตรมาส สะท้อนว่าเศรษฐกิจยูโรโซนน่าจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) อย่างเป็นทางการ
เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • อัตราการว่างงานของเขตยูโรโซนล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 10.8 ของกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการรวมกลุ่มเงินสกุลเดียวยูโรโซน
  • อัตราเงินเฟ้อเขตยูโรโซนล่าสุดในเดือนมีนาคม 2555 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 2.6% จากเดือนก่อนที่อยู่ที่ 2.7% อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมยังสูงกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ที่ 2.5% เนื่องจากราคาสินค้าในหมวดพลังงานที่อยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์
ภาคการเงิน
  • ธนาคารกลาง ECB คงดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% ในเดือนเมษายน เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ามันตลาดโลก ที่อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ตลอดทั้งปี 2555 (หลังจากเดิมที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี 2555)
ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาส 4/2554
  • Euro Stat ยืนยันเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาส 4 หดตัวจากไตรมาสก่อน -0.3%QoQ เนื่องจากการหดตัวของทุกภาคเศรษฐกิจทัง้ การบริโภค การลงทุน และการส่งออก

สำนักงานสถิติยุโรป Euro Stat ได้ประกาศตัวเลขสุดท้ายของอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจยูโรโซน 17 ประเทศ ในไตรมาส 4 ปี 2554 (ค.ศ.2011) ว่าหดตัวจากไตรมาสก่อนที่ -0.3% (QoQ) และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เศรษฐกิจยูโรก็ขยายตัวชะลอลงต่อเน่อื งมาอยู่ที่ 0.7% (YoY) ส่งผลให้อ้ตราการขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนเฉลี่ยในปี 2554 ขยายตัวได้ที่ 1.5% (YoY) ลดลงจากปี 2553 ที่ขยายตัวเฉลี่ย 1.8% (YoY)

เมื่อพิจารณารายละเอียดของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2554 พบว่าสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เศรษฐกิจยูโรโซนรายไตรมาสหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบปี มาจากการหดตัวของทุกภาคเศรษฐกิจ ทั้งการบริโภคภาคเอกชน(PRIVATE CONSUMPTION) ที่หดตัว -0.4%(QOQ) ในไตรมาส 4 และการลงทุนรวม(TOTAL INVESTMENT) ที่หดตัวสามไตรมาสติดต่อกันมาอยู่ที่ -0.7%(QOQ)ประกอบกับการบริโภคภาครัฐ(GOVERNMENT CONSUMPTION) ก็หดตัวต่อเนื่องที่ -0.2%(QOQ) ตามการตัดลดงบประมาณรายจ่ายของหลายประเทศที่ประสบวิกฤติหนี้สาธารณะในยูโรโซน นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าและบริการ (REAL EXPORT) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจยูโรโซนในช่วงที่ผ่านมากลับมาหดตัวเป็นครั้งแรกที่ -0.4% ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน

เครื่องชี้เศรษฐกิจไตรมาส 1 ของปี 2555
  • ดัชนี PMI ชี้เศรษฐกิจยูโรโซน หดตัวต่อเนื่อง(Recession)ในไตรมาส 1/2555

เครื่องชี้เศรษฐกิจของเขตยูโรโซน ที่วัดจากดัชนีผู้จัดการแผนกจัดซื้อรวมของภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม (Markit Composite Purchasing Managers’ Index: Composite PMI) บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกของปี 2555 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องหลังจากที่หดตัว -0.3% (QoQ) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2555 สะท้อนเศรษฐกิจยูโรโซนอาจเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างเป็นทางการ (Recession) เนื่องจากเศรษฐกิจติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน

เมื่อพิจารณารายละเอียดของดัชนีผู้จัดการแผนจัดซื้อรวมของภาคบริการ Composite PMI จากรูปข้างต้น จะเห็นได้ว่า ดัชนี Composite PMI ปรับตัวลดลงมาอยู่ต่ากว่า 50 จุด (ซึ่งเป็นระดับที่วัดการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว) ที่ 49.1 จุด ในเดือนมีนาคม 2555 ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากระดับ 49.3 จุดในเดือนกุมภาพันธ์ และระดับ 50.4 จุดในเดือนมกราคม ส่งผลให้ค่าเฉลี่ยของดัชนี Composite PMI ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2555 อยู่ที่เฉลี่ย 49.6 จุด ซึ่งเป็นระดับการผลิตที่ต่ากว่าระดับ 50 จุดที่วัดระดับการผลิตที่ไม่มีการขยายตัว ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่า เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกของปี 2555 จะหดตัวจากไตรมาสก่อนหน้าเช่นเดียวกับไตรมาส 4 ของปี 2554 อย่างไรก็ดี อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2555 น่าจะติดลบน้อยกว่าในไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากดัชนี Composite PMI เฉลี่ยในไตรมาสแรกของปี 2555 ที่ระดับ 49.6 จุด ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าดัชนี Composite PMI เฉลี่ยในไตรมาส 4 ปี 2554 ที่อยู่ที่ระดับ 47.2 จุด

สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่า เศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสแรกของปี 2555 น่าจะหดตัวประมาณ -0.1%-(-0.2%)QoQ เทียบกับที่หดตัว -0.3%QoQ ในไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน

เครื่องชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจ
  • อัตราการว่างงานยูโรโซนล่าสุด สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 10.8%

อัตราการว่างงานของประเทศในเขตยูโรโซนล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 10.8 ของกำลังแรงงาน ซึ่งเป็นอัตราการว่างงานที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตัง้ แต่มีการรวมกลุ่มเงินสกุลเดียวยูโรโซน โดยมีจำนวนผู้ว่างงานทั้งสิ้น 17.13 ล้านคน เพมิ่ ขึ้นจากเดือนก่อนหน้าจา นวน 167,000 คน

เมื่อพิจารณาอัตราการว่างงานเป็นรายประเทศ พบว่าอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ของประเทศหลักในเขตยูโรโซน (Core Economies) เช่น เยอรมนี ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ ยังคงทรงตัวเท่ากับเดือนก่อน ขณะที่ประเทศตามรอยขอบยูโร(Periphery) มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสเปน ที่มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นและอยู่สูงที่สุดในภูมิภาคที่ร้อยละ 23.6 ของกำลังแรงงาน ขณะที่ไอร์แลนด์ โปรตุเกส และ อิตาลี มีอัตราการว่างงานสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกันมาอยู่ที่ร้อยละ 14.7 ร้อยละ 15.0 และ ร้อยละ 9.3 ตามลำดับ สำนักงานที่ปรึกษาฯ ประเมินว่าอัตราการว่างงานในเขตยูโรโซนมีแนวโน้มปรับตัวสูงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจยูโรโซนที่มีโอกาสสูงที่จะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ในไตรมาสแรกของปี 2555

  • อัตราเงินเฟ้อเขตยูโรโซนเดือนมีนาคม 2555 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 2.6% ต่อปีแต่ยังคงปรับตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์เนื่องจากราคาพลังงานยังอยู่ในระดับสูง

อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ที่คำนวณจากดัชนีราคาผู้บริโภค (Harmonized Index of Consumer Prices: HICP) ของเศรษฐกิจในเขตยูโร Euro Area (ข้อมูลเบื้องต้น) ในเดือนมีนาคม 2555 ปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 2.6 ต่อปี ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์และมกราคม 2555 ที่อยู่ที่ร้อยละ 2.7 ต่อปี ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปี 2555 อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.7 ต่อปี ลดลงจากไตรมาส 4 ชองปี 2554 ที่อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.9 ต่อปี

สาเหตุหลักที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม 2555 และอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในไตรมาสแรกของปี 2555 ปรับตัวลดลง มาจากการขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงของราคาสินค้าในหมวดเชื้อเพลิงและพลังงาน (Energy) อย่างไรก็ดี แม้ว่าราคาสินค้าในหมวดเชื้อเพลิงและพลังงานจะขยายตัวชะลอลง แต่อัตราเงินเฟ้อในหมวดเชื้อเพลิงและพลังงานยังคงอยู่ในระดับสูงกว่าที่คาดการณ์ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคมจะปรับตัวลดลง แต่ยังคงเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่ตลาดการเงินคาดการณ์ (ตลาดการเงินคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี) และเป็นอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่ากรอบเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อของธนาคารกลางแห่งชาติยุโรปที่กาหนดอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ต่อปี อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น สานักงานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและการคลังฯ จึงคาดว่าธนาคารกลางของยุโรปจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 1 ต่อไป แม้ว่าสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศในยูโรโซนจะประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ก็ตาม

นโยบายการเงิน
  • ECB คงอัตราดอกเบี้ยที่ 1% แม้ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะมีแนวโน้มถดถอยโดยแสดงความเป็นห่วงจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมัน

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2555 คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank: ECB) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย Market Refinancing Operations (MRO) ที่ร้อยละ 1.0 ต่อปี แม้ว่าเศรษฐกิจจะเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย และคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรปประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนอาจจะอยู่ในระดับสูงกว่าที่ ECB คาดการณ์ไว้เดิมและมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราเงินเฟ้ออาจจะทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลาง ECB กาหนดไว้ที่ร้อยละ 2.0 ตลอดทั้งปี 2555 (จากเดิมที่คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวลดลงต่ำกว่าร้อยละ 2 ในช่วงครึ่งหลังของปี) นอกจากนั้น คณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป ยังแสดงความเป็นห่วงและให้ความสำคัญกับแรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่เริ่มสูงขึ้นและอาจส่งผ่านไปยังค่าจ้างและราคาสินค้าประเภทอื่นๆ ในระยะต่อไป

นอกจากนี้ ธนาคารกลาง ECB ยังคงระดับมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่อง (liquidity) หลังจากที่ออกมาตรการให้กู้เงินผ่านตลาดซื้อคืนที่มีระยะเวลาชำระคืนยาวถึง 36 เดือน (Longer- term refinancing operations: LTROs) ไปแล้ว 2 ครั้ง โดยในครั้งแรก ได้มีสถาบันการเงินในยุโรปกู้เงินไปเพื่อเสริมสภาพคล่องแล้วถึง 489 พันล้านยูโร และในการประมูลกู้เงินครั้งที่ 2 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ได้มีสถาบันการเงินในยุโรปประมูลกู้เงินตามมาตรการ LTROs เพิ่มเติมอีกจำนวน 529.5 พันล้านยูโร ทั้งนี้ ธนาคารกลาง ECB ต้องการที่จะประเมินผลของมาตรการ LTROs ดังกล่าวให้ชัดเจนก่อนที่จะประกาศเพิ่มหรือลดมาตรการ LTROs อีกครั้ง

ที่มา: Macroeconomic Analysis Group: Fiscal Policy Office Tel 02-273-9020 Ext 3665: www.fpo.go.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ