ฉบับที่ 61/2565 วันที่ 11 เมษายน 2565
ผลการประชุม
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังและผู้ว่าการ
ธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 8
การประชุม
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังอาเซียน ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในวันที่ 8 เมษายน 2565 ผ่านสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก
กระทรวงการคลัง แถลงว่า นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง ได้เข้าร่วมการประชุม
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังและผู้ว่าการ
ธนาคารกลางอาเซียน (ASEAN Finance Ministers and Central Bank Governors? Meeting: AFMGM) ครั้งที่ 8 การประชุม
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังอาเซียน (ASEAN Finance Ministers? Meeting: AFMM) ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ในวันที่ 8 เมษายน 2565 ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการประชุม ผ่านสื่อ
อิเล็กทรอนิกส์ โดยมีรองนายก
รัฐมนตรีและ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการคลัง และผู้ว่าการ
ธนาคารกลาง ราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นประธานร่วมของกรอบการประชุม AFMGM ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิดหลัก ?
อาเซียนร่วมจัดการความท้าทายไปด้วยกัน? (ASEAN A.C.T.: Addressing Challenge Together) ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. การประชุมระหว่าง
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังและผู้ว่าการ
ธนาคารกลางอาเซียนกับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ที่ประชุมได้หารือในประเด็นสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค
อาเซียน รวมถึงแนวทางการดำเนินนโยบายของภาครัฐเพื่อให้เศรษฐกิจในภูมิภาค
อาเซียนฟื้นตัวได้อย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และมีภูมิคุ้มกัน ในการนี้ ผู้แทนสถาบันการเงินระหว่างประเทศได้เสนอแนวนโยบายเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาค
อาเซียนไว้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ (1) เสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง (2) พัฒนาแนวทางในการระดมทรัพยากรภายในประเทศ อาทิ การปฏิรูปภาษี เพื่อเป็นแหล่งงบประมาณให้รัฐบาลใช้ในการดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และ (3) เพิ่มการลงทุนเพื่อการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและทั่วถึง และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่คาดว่าในปี 2565 จะขยายตัวที่ร้อยละ 3.0 ? 4.0 ต่อปี โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการบริโภคภายในประเทศ สถานการณ์ภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น และการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการของภาครัฐที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและยังต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่อาจยืดเยื้อ ปัญหาความเปราะบางด้านตลาดแรงงานและหนี้ครัวเรือน ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังยังได้เน้นย้ำความสำคัญของการระดมทรัพยากรในประเทศ เช่น การปฏิรูปภาษี การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ด้านการคลังบางประการ เป็นต้น ทั้งนี้ ในส่วนของสถาบันการเงินระหว่างประเทศต่าง ๆ ควรพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขการให้กู้ยืมแก่ประเทศ
อาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries) เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และผ่อนปรนเกณฑ์การพิจารณาเงื่อนไขการปล่อยกู้ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลกในภาวะที่มีความผันผวนสูงและไม่ปกติ เพื่อให้รัฐบาลในประเทศต่าง ๆ สามารถมีพื้นที่การคลังเพียงพอในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ภาครัฐได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจที่ดี และพร้อมที่จะก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันกับทั้งเศรษฐกิจในภูมิภาค
อาเซียนและเศรษฐกิจโลก
2. การประชุม AFMM ครั้งที่ 26 ที่ประชุมได้หารือร่วมกันในประเด็นเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจในภูมิภาค
อาเซียน ข้อริเริ่มด้านโครงสร้างพื้นฐานและการเชื่อมต่อของ
อาเซียน เป็นต้น และติดตามความคืบหน้าและร่วมพิจารณาให้การรับรองประเด็นสำคัญภายใต้ความร่วมมือทางด้านการเงิน
อาเซียน
(ASEAN Financial Cooperation) ทั้งสิ้น 7 ประเด็น ได้แก่ (1) การจัดหาเงินทุนเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน (2) ความร่วมมือด้านการประกันภัย (3) โครงการการบริหารการเงินและการประกันภัยด้านภัยพิบัติสำหรับประเทศสมาชิก
อาเซียน
(4) ความร่วมมือด้านศุลกากรใน
อาเซียน (5) การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการต่อต้านการสนับสนุน
ทางการเงินแก่การก่อการร้าย (6) คณะทำงานด้านภาษีอากรของ
อาเซียน และ (7) ความคืบหน้าการดำเนินการ
ของหน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน
อาเซียน (ASEAN Capital Markets Forum: ACMF)
ทั้งนี้
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้กล่าวสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกร่วมมือกันในการเชื่อมโยงข้อมูลหนังสือรับรอง เช่น ใบขนสินค้า
อาเซียน หนังสือรับรองอนามัยพืชแบบ
อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูล
อิเล็กทรอนิกส์ ณ จุดเดียวของ
อาเซียน (ASEAN Single Window: ASW) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก
อาเซียน นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน
อาเซียนเพื่อความครอบคลุม ยั่งยืน และเชื่อมโยง (ASEAN Sustainability Linked Bond Standard for Inclusiveness, Sustainability, and Connectivity) ที่สอดคล้องกับการดำเนินการของ ACMF พร้อมทั้งสนับสนุนด้านการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้ให้เหมาะสมในการจัดเก็บรายได้ภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้กล่าวสนับสนุนให้มีความร่วมมือด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมถึงมุมมองด้านการกำกับของประเทศสมาชิก
อาเซียน และพร้อมประสานงานระหว่างคณะทำงานที่เกี่ยวข้องใน
อาเซียนด้วย และได้กล่าวชื่นชมการดำเนินการของกองทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ใน
อาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund: AIF) ในการสนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาการเชื่อมโยงใน
อาเซียน
พร้อมทั้งสนับสนุนให้ AIF พิจารณาให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด
(Clean Energy) และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
3. การประชุม AFMGM ครั้งที่ 8 ที่ประชุมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะเชิงนโยบายกับผู้แทนภาคเอกชน ซึ่งประกอบด้วย สภาที่ปรึกษาธุรกิจ
อาเซียน (ASEAN Business Advisory Council:
ASEAN-BAC) สภาที่ปรึกษาธุรกิจสหภาพยุโรป-
อาเซียน (EU-ASEAN Business Council: EU-ABC) และสภาที่ปรึกษา
ธุรกิจ
อาเซียน-สหรัฐอเมริกา (US-ASEAN Business Council: US-ABC) โดยทั้ง 3 หน่วยงานได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการยกระดับด้านการเงินที่ยั่งยืน เช่น การพัฒนาตลาดคาร์บอนใน
อาเซียน การจัดทำเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ด้านการเงินที่ยั่งยืนของ
อาเซียน การลงทุนในโครงการในมิติด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น รวมทั้งการพัฒนาระบบดิจิทัล
เพื่อส่งเสริมด้านการค้าและการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการชำระเงินข้ามประเทศเพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิก
อาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมได้หารือและติดตามความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานประชาคมเศรษฐกิจ
อาเซียน ค.ศ. 2025 (ASEAN Economic Community (AEC) Blueprint 2025) รวมทั้งความคืบหน้าของความร่วมมือภายใต้กรอบการประชุม AFMGM ซึ่งได้แก่ แผนงานการบูรณาการทางการเงินของ
อาเซียน (Roadmap for Monetary and Financial Integration of ASEAN: RIA-Fin) และความร่วมมือ
ด้านการเงินยั่งยืนของ
อาเซียน (ASEAN Sustainable Finance Cooperation) ในส่วนของการพัฒนาเกณฑ์การจัดหมวดหมู่ด้านการเงินที่ยั่งยืนของ
อาเซียน (ASEAN Taxonomy) เวอร์ชั่นที่ 1
ในการนี้
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้สนับสนุนข้อเสนอของสภาธุรกิจทั้ง 3 แห่ง ในประเด็นที่ผลักดันให้มีการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลใน
อาเซียน และได้กล่าวถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของประเทศไทยในการดำเนินนโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในประเทศ เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น อนึ่ง
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้ขอให้ประเทศสมาชิก
อาเซียนเร่งดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อให้สามารถมีการลงนามในร่างพิธีสารอนุวัติข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการด้านการเงินภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของ
อาเซียน (ASEAN Framework Agreement on Services: AFAS) ฉบับที่ 9 ได้สำเร็จภายในปี 2565
รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลังได้มีข้อเสนอแนะในการพัฒนา ASEAN Taxonomy เวอร์ชั่นที่ 1
ที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดหมวดหมู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสนับสนุนการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริงในกรอบ
อาเซียนเพื่อส่งเสริมความยั่งยืน ที่ควรคำนึงถึงความแตกต่างของระดับการพัฒนาของประเทศสมาชิก
อาเซียนแต่ละประเทศ และควรเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
ในการประชุมวันที่ 8 เมษายน 2565 ได้มุ่งที่จะสร้างความตระหนักถึงความสำคัญในการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการมุ่งไปสู่การพัฒนาด้านการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยได้ให้ความสำคัญ
และผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เช่น การดำเนินมาตรการด้านการคลังที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มขึ้น การออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม บรรเทาปัญหา
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน รวมไปถึงแผนปฏิบัติการด้านการขับเคลื่อน
การพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เป็นต้น
สำหรับการประชุม AFMM และ AFMGM ครั้งต่อไปในปี 2566 จะมีสาธารณรัฐอินโดนีเซีย
เป็นเจ้าภาพ โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม ? ช่วงต้นเดือนเมษายน 2566
สำนักนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3615
ที่มา: กระทรวงการคลัง