ฉบับที่ 142/2566 วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566
มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง
การท่องเที่ยวและการใช้จ่าย
นาย
พรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษก
กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบหลักการมาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลาง
การท่องเที่ยวและการใช้จ่ายตามที่
กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้จากการใช้จ่ายในประเทศและจากต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
การท่องเที่ยวของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร ธุรกิจบริการ สถานบันเทิง โรงแรมที่พัก ผู้ให้บริการขนส่ง สายการบิน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมได้ในระยะเวลาอันสั้นและสร้างงานให้กับประชาชนได้เพิ่มขึ้น โดยประกอบด้วย 5 มาตรการ ดังต่อไปนี้
1. มาตรการภาษีและการเงินเพื่อสนับสนุนสินค้าไทยให้เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว
เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อในระหว่าง
การท่องเที่ยว โดยเห็นควรมอบหมาย
กระทรวงการคลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้มาตรการภาษีและการเงินเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง ยกระดับคุณภาพมาตรฐาน สร้างเอกลักษณ์ และมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น เพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้หมุนเวียนเข้าสู่ประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นและยั่งยืน
2. การปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีสรรพสามิตและภาษีประเภทอื่น ๆ รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนภาค
การท่องเที่ยว
เพื่อให้สินค้าและบริการบางประเภทมีราคาที่สามารถจูงใจในการบริโภคของนักท่องเที่ยว เมื่อเทียบเคียงกับประเทศอื่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของ
การท่องเที่ยว ตลอดจนสามารถทำให้ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวต่อหัวของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับบริบทของประเทศและนโยบายภาครัฐ โดยเห็นควรมอบหมาย
กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตและภาษีประเภทอื่น ให้สอดคล้องกันสำหรับสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับภาค
การท่องเที่ยว รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การบริหารจัดเก็บภาษีมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับรูปแบบสินค้าและบริการในสถานการณ์ปัจจุบัน และมีส่วนช่วยสนับสนุน
ภาค
การท่องเที่ยวต่อไป
3. การพิจารณาความเหมาะสมในการยกเลิกอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้ารวมถึงการยกเว้นอากรของที่ซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้าเพื่อส่งเสริม
การบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศ
เพื่อเป็นการส่งเสริมการบริโภคและการใช้สินค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น เห็นควรมอบหมาย
กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการยกเลิกการอนุญาตให้จัดตั้งคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อขายสำหรับร้านค้าปลอดอากรขาเข้า รวมถึงการยกเลิกหลักเกณฑ์เงื่อนไขการยกเว้นอากรของที่ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรซื้อจากร้านค้าปลอดอากรสำหรับผู้โดยสารขาเข้า
4. การผ่อนปรนเวลาเปิดปิดของสถานบริการสำหรับจังหวัดที่มีศักยภาพ
การท่องเที่ยวสูงและเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มีความพร้อมและเหมาะสม
เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อวันของนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น และเพิ่มรายได้ให้แก่อุตสาหกรรม
การท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานบันเทิง ร้านอาหาร ผู้ให้บริการขนส่ง เป็นต้น โดยเห็นควรมอบหมายกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเป็นไปได้ในการผ่อนปรนเวลาเปิดปิดของสถานบริการต่อไป
5. การยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อ
การท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเห็นควรมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศพิจารณายกเว้นการตรวจลงตราเพื่อ
การท่องเที่ยวให้แก่
ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติต่าง ๆ เพิ่มเติมจากปัจจุบัน
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้
กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการศึกษารายละเอียด ผลประโยชน์ และผลกระทบ ของมาตรการดังกล่าวข้างต้น ทั้งในมิติของเศรษฐกิจ การคลัง และสังคม รวมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
โฆษก
กระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า
กระทรวงการคลังจะได้ประชุมหารือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในโอกาสแรก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 02 273 9020 ต่อ 3520
ที่มา: กระทรวงการคลัง